8/15/2555

ฮีโร่โอลิมปิก


ฮีโร่โอลิมปิก 
                                                                     โดย...โสต  สุตานันท์
ท่านเจ้าคุณพระพรหมคุณาภรณ์อธิบายไว้ในหนังสือ “พุทธธรรม” ว่า ความอยากหรือความต้องการตามธรรมชาติของมนุษย์จะมีอยู่ 2 ลักษณะ คือ ความอยากที่มุ่งประสงค์เวทนา ต้องการสิ่งสำหรับเอามาเสพเสวยเวทนาหรือสิ่งที่จะปรนเปรอตัวตน ซึ่งต้องอาศัยอวิชชาคอยหล่อเลี้ยงและให้โอกาส พัวพันเกี่ยวเนื่องอยู่กับเรื่องตัวตน เอาตนเป็นศูนย์กลางและนำไปสู่ปริเยสนาหรือการแสวงหา เรียกว่า “ตัณหา”
 อีกลักษณะหนึ่งเรียกว่า “ฉันทะ” หมายถึง ความอยากที่มุ่งประสงค์อัตถะ คือ ตัวประโยชน์หรือสิ่งที่มีคุณค่าแท้จริงแก่ชีวิต ซึ่งต้องอาศัยความจริง สิ่งที่ดีงามหรือภาวะที่ดีงาม ฉันทะก่อตัวขึ้นจากโยนิโสมนสิการ คือ ความรู้จักคิดหรือคิดถูกวิธี คิดตามสภาวะและเหตุผล เป็นภาวะกลาง ๆของธรรม ไม่ผูกมัดหรือยึดติดอยู่กับอัตตาตัวตน
 ตัวอย่างเช่น การกินอาหาร หากกินเพื่อมุ่งประสงค์เวทนา คือ ความอร่อย  โก้ แสดงฐานะ ถือเป็นความต้องการที่เรียกว่า ตัณหา  แต่หากกินเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต คือ เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง มีสุขภาพดี ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ถือเป็นความต้องการที่เรียกว่า ฉันทะ  แน่นอนว่ามนุษย์ต้องกินเพื่อฉันทะเป็นหลัก หากใครกินเพื่อมุ่งตัณหาเป็นสำคัญก็จะเป็นการบั่นทอนหรือทำลายชีวิตของเขาเองเพราะนั่นหมายถึง ทรัพย์สินเงินทองที่ต้องสูญเสียไปและโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆที่จะตามมา
 อย่างไรก็ตาม ท่านเจ้าคุณบอกว่าความต้องการในทางพระพุทธศาสนานั้น ท้ายที่สุดไม่ว่าจะเป็นตัณหาหรือฉันทะก็ต้องปล่อยวาง เพียงแต่ว่ากรณีตัณหา หากเกิดมีขึ้นเมื่อไหร่ก็ต้องละในทันที ต่างจากฉันทะที่ต้องพยายามทำให้สำเร็จก่อนจึงค่อยละวางภายหลัง
คำถามก็คือว่า การที่ประเทศไทยจัดส่งนักกีฬาไปแข่งขันกีฬาโอลิมปิกนั้น แต่ละคนแต่ละฝ่ายมีจุดประสงค์ความต้องการเพื่ออะไร ?  เป็นความต้องการที่มีลักษณะเป็นฉันทะหรือตัณหา ?
จากการติดตามข้อมูลข่าวสารและสดับตรับฟังความคิดความเห็น รวมทั้งการกระทำของทุกคนทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นตัวนักกีฬาและพ่อแม่ญาติพี่น้อง โค้ช ผู้จัดการทีม นายกสมาคมต่าง ๆข้าราชการ นักการเมืองหรือประชาชนคนทั่วไป คงสรุปคำตอบได้ไม่ยากว่า ส่วนใหญ่เป็นความต้องการที่มีลักษณะเป็นตัณหา เพราะเป็นความคิดความรู้สึกที่พัวพันเกี่ยวเนื่องอยู่กับเรื่องตัวตนและมุ่งประสงค์เวทนาทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นประโยชน์ในแง่ทรัพย์สินเงินทองหรือเกียรติยศชื่อเสียงก็ตาม  ซึ่งท้ายที่สุดผลที่ตามมาก็คงเป็นไปในทำนองเดียวกันกับการกินอาหารที่มุ่งประสงค์เพื่อตัณหาเป็นสำคัญ คือ เกิดผลเสียมากกว่าผลดี
ถามว่าก่อนการแข่งขันชีวิตความเป็นอยู่และสภาพจิตใจของนักกีฬาเป็นอย่างไร แน่นอนว่าคงเหนื่อยทั้งกายและใจอย่างมากในตลอดช่วงเวลา 4 ปี ของการเตรียมตัวฝึกซ้อม อีกทั้งเชื่อว่านักกีฬาส่วนใหญ่น่าจะรู้สึกเครียด กดดันและเป็นทุกข์อยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะความทุกข์ที่เกิดจากความกลัวการพ่ายแพ้หรือผิดหวัง  เพราะเดิมพันชีวิต เกียรติยศชื่อเสียงและเงินรางวัลล่อตาล่อใจช่างสูงเสียเหลือเกิน จะเหน็ดเหนื่อยลำบากอย่างไรก็คงต้องทนให้ถึงที่สุด
เคยมีเรื่องเล่ากันว่าในยุคสมัยที่อิวาน เลนเดิล อดีตนักเทนนิสมือหนึ่งของโลกมีชื่อเสียง มีช่วงเวลาหนึ่งที่เขาได้แชมป์มาทุกรายการ ยกเว้นรายการเดียวคือ ยูเอสโอเพ่น  ปรากฏว่าปีนั้นเขาเข้าชิงชนะเลิศกับจิมมี่ คอนเนอร์ ในรายการดังกล่าว  ระหว่างการแข่งขันเลนเดิลเล่นได้ดีและมีคะแนนนำมาโดยตลอด แต่เมื่อถึงลูกสำคัญที่สุดเพราะหากทำได้ก็จะได้รับชัยชนะเป็นแชมป์ทันที ปรากฏว่าเขาตีพลาดทำไม่ได้ นับแต่วินาทีนั้นเขาก็ตีเสียตลอด จนกระทั่งแพ้ไปในที่สุด   ปีต่อมาเขาเข้าชิงชนะเลิศอีกกับไมเคิล ชาง ระหว่างการแข่งขันซึ่งสถานการณ์ขณะนั้นกำลังสูสีกันมาก ปรากฏว่าชางเป็นตะคริว และเมื่อชางหายจากการเป็นตะคริวกลับมาเล่นต่อ เลนเดิลก็ตีไม่ได้อีกและแพ้ชวดแช้มป์ไปอีกครั้งหนึ่ง    
หลังการพ่ายแพ้ทั้งสองครั้งดังกล่าว  เลนเดิลไปปรึกษาจิตแพทย์   จิตแพทย์ถามว่า ปกติเวลาซ้อมตีดีใช่ไหม ?  เลนเดิลตอบว่าใช่   แล้วเวลาแข่งทำไมตีไม่ได้ ?  เขาตอบว่ามันรู้สึกตื่นเต้น  จิตแพทย์ถามต่ออีกว่าทำไมตื่นเต้น ?  เขาตอบว่ามันกลัวแพ้  จิตแพทย์จึงแนะนำว่าแพ้หรือชนะมันเป็นผล  ผลมาจากเหตุคือ  การตีดีหรือไม่ดี  ถ้าตีดีก็มีโอกาสชนะ  ถ้าตีไม่ดีก็มีโอกาสแพ้   คุณควบคุมการตีของคู่ต่อสู้ไม่ได้ แต่สามารถควบคุมการตีของตัวเองได้  นอกจากนั้น การแพ้ชนะยังขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยเรื่องอื่น ๆอีกมากมายหลายประการ เพราะฉะนั้น สิ่งที่ต้องทำคือ เมื่อลงแข่งขันทุกครั้งให้พยายามท่องไว้ในใจอยู่ตลอดเวลาว่าตีทุกลูกให้ดีที่สุด ๆ ๆ ๆ ห้ามคิดถึงผลแพ้ชนะโดยเด็ดขาด
ปีต่อมาเลนเดิลได้เข้าชิงชนะเลิศอีกครั้งหนึ่ง  คราวนี้พบกับจอห์น เเม็คเอนโร  ก่อนลงสนามเขาทำสมาธิและท่องในใจตลอดว่า  ตีทุกลูกให้ดีที่สุด  ๆๆๆ  แต่พอเดินลงสนามคนตบมือต้อนรับเสียงดังลั่น ทำให้เขาตื่นเต้นและลืมสิ่งที่ท่องไว้  ตีไปตีมาแพ้ไปก่อน 2  เซตรวด ถ้าแพ้อีกเซตเดียวก็จะไม่มีโอกาสแก้ตัวอีก  ขณะนั่งพักรอแข่งเซตที่  3 อยู่นั้น  เขานั่งทำใจและพูดกับตัวเองว่า คงแพ้อีกแล้ว  เมื่อคำว่าแพ้ผุดขึ้นในสมอง ทำให้เขาฉุกคิดถึงคำแนะนำของจิตแพทย์ขึ้นมาทันที   เอ๊ะแพ้มันเป็นผลนี่หว่า  ไปคิดถึงมันทำไม  จากนั้นเขาก็ออกไปเล่นในเซตที่ 3 ต่อ  และตั้งหน้าตั้งตาตีทุกลูกให้ดีที่สุด ๆๆๆ  ปรากฏว่ามารู้ตัวอีกทีตอนเเม็คเอนโร  เดินมาจับมือและตบหลังแสดงความยินดีกับชัยชนะของเขา
จากตัวอย่างดังกล่าว  จึงเห็นว่าการที่ทุกคนทุกฝ่ายในสังคมให้ความคาดหวังและตั้งรางวัลให้นักกีฬาสำหรับความสำเร็จที่จะได้รับ รวมทั้งให้การยกยกเชิดชูมากเกินขอบเขตแห่งความพอดี น่าจะเป็นการเพิ่มกิเลสความต้องการที่มีลักษณะเป็นตัณหาและสร้างอัตตาตัวตนของนักกีฬาให้ใหญ่โตมากผิดปกติ  กรณีจึงเป็นไปได้ยากยิ่งที่นักกีฬาจะมีสมาธิไม่วิตกกังวลคิดถึงแต่ผลแพ้ชนะไม่ว่าจะเป็นเวลาก่อนหรือระหว่างการแข่งขันก็ตาม
ถามต่อว่าเมื่อเสร็จสิ้นการแข่งขันจะมีนักกีฬาซักกี่คนที่ชนะมีโอกาสได้รับเหรียญรางวัล แน่นอนว่าย่อมมีสัดส่วนที่น้อยมาก  แล้วคนส่วนใหญ่ที่พ่ายแพ้ละเขาจะมีความรู้สึกอย่างไร แน่นอนว่าคำตอบที่ได้คือเสียใจและผิดหวังอย่างมาก บางคนอาจถึงขั้นคิดว่าเป็นความล้มเหลวของทั้งชีวิตเลยก็ว่าได้เพราะตั้งความหวังไว้สูงมาก  แล้วคนที่มีบาดแผลใหญ่หลวงในใจเช่นนั้นจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขต่อไปได้อย่างไร หรือแม้กระทั่งคนที่ได้รับชัยชนะเป็นฮีโร่ก็คงมีเรื่องให้ยุ่งยากปวดหัวและเป็นทุกข์อยู่ไม่น้อย  ไม่ว่าจะเป็นปัญหาในเรื่องของการจัดการทรัพย์สินเงินทองจำนวนมากที่ได้รับมาหรือการพยายามดำรงตนและใช้ชีวิตในสังคมหลังจากนั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายอย่างแน่นอน เพราะเกียรติยศชื่อเสียงที่ผู้คนในสังคมยกย่องเชิดชูนั้นช่างยิ่งใหญ่อลังการเสียเหลือเกิน แล้วเมื่อกาลเวลาผ่านไปล่ะ ทรัพย์สินเงินทองและเกียรติยศชื่อเสียงมากมายที่ได้มาจะเป็นอย่างไร แน่นอนว่าย่อมเป็นไปตามกฎแห่งอนิจจัง ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมเกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วก็ดับไป หากใครไม่คิดเตรียมการณ์วางแผนการใช้ชีวิตและเตรียมตัวเตรียมใจไว้ล่วงหน้าให้ดี ฉากสุดท้ายของชีวิตย่อมจบลงด้วยความเศร้า ซึ่งที่ผ่านมาสังคมไทยมีตัวอย่างให้เห็นมากมาย
 ท่านเจ้าคุณพระพรหมคุณาภรณ์บอกว่าสาระสำคัญอย่างหนึ่งของการพัฒนามนุษย์ตามหลักศาสนาพุทธได้แก่ การที่เราจะต้องพยายามหันเหหรือปรับเปลี่ยนความต้องการจากสิ่งเสพปรนเปรอตนที่มีลักษณะเป็นตัณหามาเป็นความต้องการพัฒนาคุณภาพชีวิตซึ่งเป็นฉันทะ ดังนั้น จึงเห็นว่าสังคมไทยน่าจะต้องรีบทบทวนหรือปรับวิธีคิดวิธีการกระทำกันใหม่ เราต้องไม่ลืมว่าปรัชญาสูงสุดของการเล่นกีฬาคือ การรู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย  เมื่อชนะก็ไม่ดีใจจนเกินเหตุ เมื่อแพ้ก็ไม่เสียใจเกินเหตุและหากใครผิดพลาดบกพร่องไม่ว่าเรื่องใดก็ต้องให้อภัยและเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน  ความต้องการที่มีลักษณะเป็นฉันทะของการเล่นกีฬาคือ เพื่อให้มีสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรงและเพื่อเป็นการสร้างความสมานสามัคคี สร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างผู้คนในสังคมไม่ว่าจะเป็นภายในประเทศหรือต่างประเทศ ผลแพ้ชนะถือเป็นเรื่องที่มีความสำคัญรองลงไป
 ท่านพุทธทาสภิกขุกล่าวว่า ธรรมะ คือ หน้าที่ที่จะต้องประพฤติกระทำให้อยู่กันเป็นผาสุกทั้งโดยส่วนตัวและส่วนรวม ดังนั้น สิ่งสำคัญสูงสุดที่นักกีฬาและทุกคนทุกฝ่ายต้องคำนึงถึงจึงได้แก่ การทำหน้าที่ของตนเองให้มีความสมบูรณ์มากที่สุด หากทุกคนทำหน้าที่หรือทำเหตุปัจจัยทุกอย่างให้สมบูรณ์พร้อม ผลสรุปในภาพรวมที่ออกมาย่อมดีอย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประโยชน์ความต้องการที่มีลักษณะเป็นฉันทะ ในทางตรงกันข้ามหากทุกคนทุกฝ่ายมุ่งเน้นแต่ผลการแข่งขันเพียงอย่างเดียวมากเกินไป ทุกองคาพยพที่เกี่ยวข้องย่อมวิปริตปรวนแปรตามไปหมด ซึ่งไม่น่าจะเป็นผลดีต่อการพัฒนาวงการกีฬาและสังคมประเทศชาติในระยะยาว
การไปแข่งขันกีฬาโอลิมปิกของนักกีฬาทุกคนถือเป็นการทำหน้าที่ทั้งต่อตัวเองและสังคมส่วนรวม เมื่อทุกคนทำหน้าที่อย่างอย่างสมบูรณ์พร้อมหรือดีที่สุดแล้ว โดยหลักการที่ถูกต้องชอบธรรม ก็ควรจะได้รับการยกย่องเชิดชูและผลตอบแทนที่ไม่แตกต่างกัน แล้วเพราะเหตุใดเราจึงยกย่องเชิดชูและให้ผลตอบแทนเฉพาะกับคนที่ได้รับเหรียญรางวัลอย่างมากมายมหาศาล ขณะที่คนไม่ได้เหรียญแทบไม่ได้รับอะไรเลย
จุดมุ่งหมายสำคัญในการให้ทรัพย์ตามหลักศาสนาพุทธมี 4 ประการ คือ
1.            ให้เพื่ออนุเคราะห์แก่ผู้ขาดแคลน
2.            ให้เพื่อบูชาคุณแก่ผู้มีพระคุณ เช่น บิดา มารดา
3.            ให้เพื่ออุปถัมภ์บำรุงศาสนาหรือแก่ผู้ทรงศีล เช่น พระสงฆ์
4.            ให้เพื่อขัดเกลากิเลสหรือกำจัดความยึดติดในทรัพย์ของผู้ให้
ถามว่าในอดีตที่ผ่านมาและที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน การให้รางวัลแก่นักกีฬาของทุกคนทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมีจุดประสงค์เพื่ออะไร ?  การที่เราเลือกให้รางวัลมากมายเฉพาะแก่ผู้ที่ชนะได้รับเหรียญก็คงไม่ต่างจากวิธีคิดของนักพนันในบ่อนไก่ที่ว่า “ไม่มีใครอยากอุ้มไก่แพ้”  แล้วเราจะปล่อยให้คุณค่าของมหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมวลมนุษยชาติมีความหมายเพียงเท่านี้หรือ ???

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น