ปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับการล่อซื้อยาเสพติด[1]
โดย...โสต สุตานันท์
ปัจจุบันมีแนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่วินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับการล่อซื้อยาเสพติด ซึ่งผู้เขียนเห็นว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่น่าสนใจอยู่ ๒ เรื่อง คือ
๑. การกระทำความผิดหลายบทหรือหลายกระทง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ และ ๙๑
แนวคำพิพากษาศาลฎีกาวินิจฉัยว่า กรณีจำเลยจำหน่ายยาเสพติดให้แก่สายลับหรือเจ้าพนักงานตำรวจผู้ล่อซื้อไปทั้งหมด ถือว่าเป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษบทหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ แต่หากจำเลยจำหน่ายยาเสพติดไม่หมด โดยยังคงเหลือที่ตัวจำเลยอีกส่วนหนึ่ง ถือว่า เป็นการกระทำอันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑
๒. พยานหลักฐานที่สามารถรับฟังได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๒๒๖
แนวคำพิพากษาศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่เจ้าพนักงานตำรวจให้สายลับไปล่อซื้อยาเสพติดจากจำเลย ถือว่าเป็นการแสวงหาข้อเท็จจริงและหลักฐานซึ่งเจ้าพนักงานตำรวจผู้มีอำนาจสืบสวนและจับกุมผู้กระทำความผิดปฏิบัติไปตามอำนาจและหน้าที่ เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชนและเพื่อที่จะทราบรายละเอียดแห่งความผิด ไม่ถือว่าเป็นการแสวงหาพยานหลักฐานที่มิชอบ
ผู้เขียนใคร่ขอเสนอข้อคิดเห็นบางแง่มุมเกี่ยวกับข้อวินิจฉัยตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกาทั้ง ๒ เรื่อง ดังกล่าว ดังนี้ คือ
เรื่องแรก - กรณีปัญหาเกี่ยวกับการกระทำความผิดหลายบทหรือหลายกระทง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ และ ๙๑ ผู้เขียนมีข้อสังเกต ๓ ประการ คือ
๑.ในการใช้ดุลพินิจลงโทษผู้กระทำความผิดนั้น นอกจากจะต้องคำนึงถึงอัตราโทษตามที่กฎหมายบัญญัติไว้แล้ว หลักสำคัญประการหนึ่งที่จะต้องนำมาประกอบการพิจารณา คือ ต้องลงโทษให้เหมาะสมกับพฤติการณ์หรือความร้ายแรงแห่งความผิดที่จำเลยกระทำ สมมุติว่า นาย ก และ นาย ข มียาบ้าไว้ในครอบครองคนละ ๒ เม็ด เท่ากัน ต่อมานาย ก ขายไป ๑ เม็ด เหลืออีก ๑ เม็ด ส่วนนาย ข ขายไปหมดทั้ง ๒ เม็ด ถามว่า พฤติการณ์ความร้ายแรงในการกระทำความผิดของทั้งสองคนต่างกันหรือไม่ หรือหากจะใช้คำถามแบบภาษาชาวบ้านว่า นาย ก กับ นาย ข ใครชั่วมากกว่ากัน
ปัญหาดังกล่าว หากพิจารณาตามผลแห่งคำวินิจฉัยของศาลฎีกาปัจจุบัน ก็จะได้คำตอบว่า นาย ก ชั่วมากกว่า เพราะจะเห็นได้ว่า ศาลฎีกาพิพากษาลงโทษนาย ก มากกว่านาย ข ถึงสองเท่า โดยเห็นว่า การกระทำของนาย ก เป็น ๒ กรรม แต่การกระทำของนาย ข เป็นกรรมเดียว หากนาย ก และนาย ข ลุกขึ้นยืนฟังคำพิพากษาพร้อมกันและได้ยินคำพิพากษาที่ศาลอ่านว่า นาย ก ถูกพิพากษาจำคุก ๑๐ ปี แต่ นาย ข ถูกพิพากษาให้จำคุก ๕ ปี (อัตราโทษขั้นต่ำสุดในความผิดฐานจำหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งยาเสพติดให้โทษ ในประเภท ๑ ตาม พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๖๖ ) นาย ก คงรำพึงในใจว่า คนซื้อน่าจะซื้อไปหมดทั้ง ๒ เม็ด แต่นาย ข ก็คงรู้สึกดีใจในความโชคร้ายว่า อย่างน้อยก็โชคดีที่ขายไปทั้งหมด ส่วนญาติจำเลยทั้งสองก็คงจะงง ๆอยู่เหมือนกันว่า เกิดอะไรขึ้น
๒.สำหรับเหตุผลที่ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า กรณีจำหน่ายไม่หมดเป็น ๒ กรรม และจำหน่ายหมดเป็นกรรมเดียว มีดังนี้ คือ
๒.๑ กรณีจำหน่ายไม่หมดเป็น ๒ กรรม ศาลฎีกาได้ให้เหตุผลไว้ ๓ แนว คือ
ก. ให้เหตุผลว่า เพราะการมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายกับการจำหน่ายเป็นความผิดซึ่งอาศัยเจตนาในการกระทำแตกต่างแยกจากกันได้ (คำพิพากษาฎีกา ที่ ๖๓๘/๒๕๑๙ , ๑๘๑๖/๒๕๑๙ , ๓๖๘๑/๒๕๒๕ , ๒๘๑/๒๕๒๙ , ๑๓๖๕/๒๕๔๑ , ๓๘๑๔/๒๕๔๑ )
ข. ให้เหตุผลโดยดูจากจำนวนว่า หลังจากจำหน่ายแล้ว ยังเหลือยาเสพติดอยู่อีกส่วนหนึ่งไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จึงเป็น ๒ กรรม (คำพิพากษาฎีกา ที่ ๓๖๔/๒๕๑๙ , ๙๓๓/๒๕๑๙ ,๑๙๙๕/ ๒๕๒๖ , ๒๐๔๒/๒๕๔๒ )
ค. ให้เหตุผลโดยดูจากการกระทำว่า การจำหน่ายกับการมีไว้เพื่อจำหน่ายเป็นการกระทำคนละครั้งหรือต่างกรรมต่างวาระ จึงเป็น ๒ กรรม (คำพิพากษาฎีกา ที่ ๑๑๙๘/๒๕๑๙ (ประชุมใหญ่) , ๑๔๙๒/๒๕๑๙ , ๒๐๔๙/๒๕๑๙ , ๒๖๕๒/๒๕๑๙ )
๒.๒ กรณีจำหน่ายหมดเป็นกรรมเดียว ศาลฎีกาให้เหตุผลว่า เนื่องจากจำนวนยาเสพติดที่จำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและที่จำหน่ายไป เป็นยาเสพติดจำนวนเดียวกัน ( คำพิพากษาฎีกา ที่ ๑๒/๒๕๒๒ , ๑๐๗๔/๒๕๒๒ , ๘๒๐/๒๕๒๓ , ๑๓๑๑/๒๕๓๓ , ๔๗๓/๒๕๔๒ )
จากเหตุผลตามแนวคำวินิจฉัยศาลฎีกาดังกล่าว จะเห็นว่า การให้เหตุผลกรณี ๒ กรรมกับกรณีกรรมเดียวดูเหมือนจะไม่สอดคล้องกัน เพราะหลักที่ว่า เจตนามีไว้เพื่อจำหน่ายกับเจตนาจำหน่ายแยกจากกันได้นั้น เมื่อการมียาเสพติดจำนวนหนึ่งไว้เพื่อจำหน่ายเป็นความผิดสำเร็จกรรมหนึ่งแล้ว ต่อมาไม่ว่าจะจำหน่ายหมดหรือไม่หมดก็น่าจะต้องเป็นอีกกรรมหนึ่ง รวม ๒ กรรม เสมอ จะเป็นเพียงกรรมเดียวไม่ได้ สำหรับหลักที่คำนึงถึงจำนวนก็เช่นกัน ถ้าการจำหน่ายยาเสพติดจำนวนเดียวกันทั้งหมดเป็นกรรมเดียว การจำหน่ายไม่หมดก็น่าจะเป็นกรรมเดียวด้วย เพราะจำนวนที่มีไว้เพื่อจำหน่ายก็คลุมถึงจำนวนที่จำหน่ายอยู่แล้ว และไม่มียาเสพติดจำนวนอื่นขึ้นใหม่อันจะทำให้เป็นการมียาเสพติดเพื่อจำหน่ายกรรมใหม่เกิดขึ้นแต่อย่างใด ส่วนหลักที่ว่า การมีไว้เพื่อจำหน่ายกับจำหน่ายต่างกรรมต่างวาระกันนั้น ก็ไม่สามารถตอบได้ว่า ทำไมเวลาจำหน่ายทีเดียวหมดจึงถือว่าไม่ใช่ต่างกรรมต่างวาระ ทั้ง ๆที่มี ๒ การกระทำเช่นกัน
๓. ปกติในการใช้ดุลพินิจลงโทษจำเลยนั้น แต่ละศาลจะมีบัญชีอัตราโทษหรือที่เรียกกันว่า “ยี่ต๊อก” อยู่ ทั้งนี้ เพื่อเป็นแนวทางสำหรับผู้พิพากษาในการใช้ดุลพินิจกำหนดโทษสำหรับคดีที่มีข้อเท็จจริงหรือพฤติการณ์การกระทำความผิดทำนองเดียวกัน อย่างเช่น คดีเกี่ยวกับยาบ้า ส่วนใหญ่จะใช้ปริมาณสารบริสุทธิ์หรือจำนวนเม็ดยาบ้าของกลาง เป็นเกณฑ์ในการพิจารณากำหนดโทษที่จะลง ปัญหาจึงมีว่า กรณีจำเลยจำหน่ายยาบ้าไม่หมด การลงโทษจำเลยในข้อหามียาบ้าไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจะพิจารณากำหนดโทษจำเลยโดยดูจากจำนวนยาบ้าที่จำเลยมีไว้ในครอบครองทั้งหมดก่อนจำหน่าย หรือจะต้องหักยาบ้าในส่วนที่จำหน่ายไปแล้วออกก่อน
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน ขอยกตัวอย่างประกอบ สมมุติว่า จำเลยมียาบ้าไว้ในครอบครอง ๑๐๐ เม็ด จำหน่ายให้สายลับผู้ล่อซื้อไป ๙๐ เม็ด คงเหลือ ๑๐ เม็ด กรณีเช่นนี้ จะลงโทษจำเลยในความผิดฐานมียาบ้าไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยพิจารณาจำนวนยาบ้าตามบัญชีอัตราโทษ ๑๐๐ เม็ด หรือ ๑๐ เม็ด จากการสังเกตของผู้เขียน ในเรื่องดังกล่าว พบว่า ยังมีความเห็นและการปฏิบัติที่แตกต่างกันอยู่ ซึ่งหากจำนวนยาเสพติดมีจำนวนเล็กน้อย ก็คงไม่มีผลอะไรมากนัก แต่หากยาเสพติดมีจำนวนมากแล้ว ก็จะมีผลกระทบต่อการใช้ดุลพินิจกำหนดโทษจำเลยมากเลยทีเดียว
จากข้อสังเกตคำวินิจฉัยของศาลฎีกาทั้ง ๓ ประการ ดังที่กล่าวมา ผู้เขียนมีความเห็นดังนี้ คือ
ข้อสังเกตตามข้อที่ ๑ - ผู้เขียนเห็นว่า เราไม่สามารถอธิบายให้ประชาชนเข้าใจได้ว่า เพราะอะไรนาย ก จึงต้องได้รับผลกรรมมากกว่า นาย ข ถึงสองเท่า จะอ้างเหตุผลทางวิชาการเพียงเพราะว่า การกระทำของนาย ก เป็นสองกรรม ส่วนการกระทำของนาย ข เป็นกรรมเดียวเช่นนั้นหรือ ผู้เขียนเชื่อว่า สามัญสำนึกของประชาชนทั่วไป แม้จะไม่รู้กฎหมายเลย ก็ต้องรู้สึกว่า คำพิพากษาออกมาเช่นนี้ไม่น่าจะยุติธรรม เพราะจากพฤติการณ์ตามตัวอย่าง นาย ก กับ นาย ข ไม่น่าจะมีความชั่วแตกต่างกันเลย ผลของคำพิพากษาจึงไม่ควรที่จะแตกต่างกัน ที่สำคัญไม่ใช่ต่างกันเพียงเล็กน้อย แต่ต่างกันโดย นาย ก ต้องรับโทษมากกว่าถึงสองเท่า ผู้เขียนจึงเห็นว่า หากมองในแง่ดุลพินิจในการกำหนดโทษแล้ว ไม่ว่าการกระทำของนาย ก และนาย ข จะเป็นกรรมเดียวหรือสองกรรม บุคคลทั้งสองสมควรที่จะได้รับโทษเท่ากันหรือไม่ก็ใกล้เคียงกัน
ข้อสังเกตตามข้อที่ ๒ - ผู้เขียนเห็นว่า การจำหน่ายยาเสพติด ไม่ว่าจะจำหน่ายหมดหรือไม่หมดก็ต้องเป็น ๒ กรรม ทั้งนี้ โดยพิจารณาจากหลัก “เจตนา” ในการกระทำเป็นสำคัญ จะเห็นได้ว่า เจตนาในการมียาเสพติดไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย กับเจตนาจำหน่ายยาเสพติดนั้น สามารถแยกการกระทำออกจากกันได้อย่างชัดเจน กล่าวคือ การที่จำเลยเอายาเสพติดมาไว้ในความครอบครองโดยเจตนาเพื่อจำหน่ายเป็นการกระทำกรรมหนึ่งแล้ว ต่อมาเมื่อจำเลยจำหน่ายยาเสพติดไป ก็เป็นการกระทำอีกกรรมหนึ่ง ปัญหาว่า จำเลยต้องถูกลงโทษทั้ง ๒ กรรม หรือไม่ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ บัญญัติว่า “เมื่อปรากฏว่าผู้ใดได้กระทำการอันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ศาลลงโทษผู้นั้นทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป....” เมื่อพิจารณาประกอบกับพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๖๖ ซึ่งบัญญัติว่า “ผู้ใดจำหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งยาเสพติดให้โทษ....ต้องระวางโทษ.........” ก็จะเห็นว่า กฎหมายบัญญัติว่า การจำหน่ายและการมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งยาเสพติด เป็นการกระทำอันเป็นความผิด ดังนั้น จำเลยจึงต้องถูกลงโทษทั้งสองกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมาย อาญา มาตรา ๙๑
ข้อสังเกตตามข้อที่ ๓ - ผู้เขียนเห็นว่า ในการใช้ดุลพินิจลงโทษจำเลยนั้น กรณีข้อหาความผิดฐาน “ มียาเสพติดไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ” ควรต้องถือจำนวนยาเสพติดที่จำเลยมีไว้ในครอบครองทั้งหมดก่อนจำหน่ายให้ผู้ล่อซื้อ เป็นเกณฑ์ในการพิจารณา เหตุผลเพราะว่า ความผิดฐานดังกล่าว จำเลยได้กระทำผิดสำเร็จตั้งแต่นำเอายาเสพติดทั้งหมดมาไว้ในครอบครองแล้ว เช่น จำเลยซื้อยาบ้ามา ๑๐๐,๐๐๐ เม็ด เมื่อวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๔๕ และจำหน่ายให้ผู้ล่อซื้อในวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๔๕ จำนวน ๕๐,๐๐๐ เม็ด จะเห็นว่า จำเลยได้กระทำความผิดสำเร็จโดยมียาบ้าไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายทั้ง ๑๐๐,๐๐๐ เม็ด ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๔๕ แล้ว และการที่จำเลยครอบครองยาบ้าจำนวนดังกล่าวเรื่อยมา ถือได้ว่าเป็นการกระทำความผิดต่อเนื่องกันมาตลอดเวลาที่ครอบครองยาบ้าอยู่ ดังนั้น หากจะพิจารณาลงโทษจำเลยฐานมียาเสพติดไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย โดยพิจารณาจากจำนวนยาเสพติดที่เหลือหลังจากจำหน่ายให้ผู้ล่อซื้อแล้ว น่าจะไม่ถูกต้อง เพราะจะเป็นการขัดต่อความเป็นจริง
สำหรับการลงโทษจำเลยในข้อหา “จำหน่ายยาเสพติดให้โทษ” นั้น ผู้เขียนเห็นว่า การที่เจ้าพนักงานตำรวจให้สายลับไปล่อซื้อยาเสพติดจากจำเลยนั้น ยังไม่น่าจะเป็นความผิดสำเร็จ โดยน่าจะเป็นเพียงการพยายามกระทำความผิดเท่านั้น เพราะหากพิจารณาความหมายของคำว่า “จำหน่าย” ตามคำนิยามในมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งให้ความหมายไว้ว่า “จำหน่าย” หมายถึง ขาย จ่าย แจก แลกเปลี่ยน ให้ ก็จะเห็นว่า ความหมายตามคำนิยามดังกล่าวทุกคำ หมายถึง นิติกรรมที่จะต้องมีการโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์ที่จำหน่ายให้แก่ ผู้ซื้อ ผู้รับจ่าย ผู้รับแจก ผู้แลกเปลี่ยน หรือผู้รับให้ แล้วแต่กรณี แต่ในการล่อซื้อนั้น ผู้เขียนเห็นว่า ตำรวจไม่ได้มีเจตนาจะซื้อยาเสพติดจริง ๆ ตำรวจทำไปเพื่อแสวงหาพยานหลักฐานเพื่อจับกุมจำเลยเท่านั้น และเมื่อยาเสพติดที่ล่อซื้อได้ไปอยู่ในความครอบครองของตำรวจแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่า ตำรวจได้กรรมสิทธิ์ในยาเสพติดนั้น เพราะในที่สุดยาเสพติดที่ล่อซื้อย่อมตกเป็นของกลางในคดี
ผู้เขียนเห็นว่า วัตถุประสงค์ในการล่อซื้อของตำรวจมีอยู่ ๒ ประการ คือ เพื่อจะได้ตรวจพบยาเสพติดซึ่งเป็นสิ่งของที่มีไว้เป็นความผิดจากจำเลย และเพื่อเป็นการพิสูจน์ว่า ยาเสพติดที่จำเลยมีไว้ในครอบครองอยู่นั้น จำเลยมีไว้เพื่อจำหน่าย ไม่ได้มีไว้ในครอบครองเฉย ๆหรือมีไว้เพื่อการอื่นใด อาจมีข้อโต้แย้งว่า จะตีความกฎหมายโดยการนำหลักเรื่องนิติกรรมสัญญาทางแพ่งมาประกอบการวินิจฉัยไม่น่าจะถูกต้อง เพราะการจำหน่ายยาเสพติดเป็นการกระทำที่มีมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย ซึ่งเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๐ แต่ผู้เขียนก็เห็นว่า นิติกรรมจะเป็นโมฆะหรือไม่ คงไม่ใช่ประเด็นที่จะต้องนำมาพิจารณา ประเด็นอยู่ที่ว่า ในการจำหน่ายยาเสพติดนั้น ผู้จำหน่ายจะต้องมีเจตนาที่จะจำหน่ายให้ผู้รับจำหน่าย และแน่นอนว่า คำว่า “เจตนาจำหน่าย” ย่อมหมายถึง การมุ่งที่จะโอนกรรมสิทธิ์ในยาเสพติดนั้นให้ผู้รับจำหน่ายเสมอ ดังนั้น เมื่อผู้ล่อซื้อไม่มีเจตนาที่จะรับโอนกรรมสิทธิ์ในยาเสพติดที่ล่อซื้อเสียแล้ว การจำหน่ายย่อมไม่อาจเป็นผลสำเร็จได้ กรณีต้องถือว่า เป็นการพยายามกระทำความผิดซึ่งเป็นไปไม่ได้อย่างแน่แท้ ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๑ เท่านั้น
จากการที่ผู้เขียนเห็นว่า การล่อซื้อยาเสพติด เป็นเพียงการพยายามกระทำความผิดซึ่งเป็นไปไม่ได้อย่างแน่แท้ดังเหตุผลที่กล่าวมา ผู้เขียนจึงเห็นว่า ในการใช้ดุลพินิจกำหนดโทษจำเลยในความผิดฐาน “จำหน่ายยาเสพติด” จึงต้องพิจารณาด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ จะนำเอาจำนวนยาเสพติดที่ล่อซื้อได้มาเป็นเกณฑ์ในการกำหนดโทษจำเลยเพียงอย่างเดียว ย่อมไม่น่าจะถูกต้อง เพราะจะกลายเป็นว่า จำเลยจะได้รับโทษในความผิดฐานดังกล่าวเท่าใดต้องขึ้นอยู่กับว่า ตำรวจจะล่อซื้อยาเสพติดจากจำเลยจำนวนเท่าใด หากตำรวจต้องการให้จำเลยถูกลงโทษหนัก ๆก็จะล่อซื้อเป็นจำนวนมาก แต่หากไม่ต้องการให้ถูกลงโทษหนักหรือตำรวจไม่มีเงินมากพอ ก็จะล่อซื้อจำนวนน้อย ผู้เขียนเห็นว่า การใช้ดุลพินิจในการกำหนดโทษ ควรพิจารณาถึงพฤติการณ์การกระทำความผิดของจำเลยว่า ร้ายแรงหรือไม่ อย่างไร รวมทั้งพิจารณาข้อเท็จจริงอื่น ๆประกอบด้วย
เรื่องที่สอง - พยานหลักฐานที่สามารถรับฟังได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจาณาความอาญา มาตรา ๒๒๖
การที่แนวคำพิพากษาศาลฎีกาของไทยวินิจฉัยว่า การล่อซื้อยาเสพติดถือเป็นการแสวงหาข้อเท็จจริงและหลักฐานซึ่งเจ้าพนักงานตำรวจผู้มีอำนาจสืบสวนและจับกุมผู้กระทำความผิดปฏิบัติไปตามอำนาจหน้าที่ เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชนและเพื่อที่จะทราบรายละเอียดแห่งความผิด ไม่ถือว่าเป็นการแสวงหาพยานหลักฐานที่มิชอบนั้น (คำพิพากษาฎีกา ที่ ๕๙/๒๕๔๒ , ๘๑๘๗/๒๕๔๓ ) เป็นเรื่องที่ค่อนข้างล่อแหลมอย่างยิ่ง เพราะบางกรณีดูเหมือนจะเป็นการล่วงล้ำสิทธิเสรีภาพส่วนตัวของบุคคลที่ถูกล่อซื้อเกินขอบเขต ตัวอย่างเช่น จำเลยไม่เคยขายยาเสพติดมาก่อน หรือ เคยขายมาก่อน แต่ต้องการจะเลิก และตัดสินใจแล้วว่า จะไม่ขายอีก แต่เมื่อตำรวจไปติดต่อเพื่อขอล่อซื้อโดยให้ราคาสูง ทำให้จำเลยมีกิเลส เกิดความโลภจึงตัดสินใจไปหายาเสพติดมาขายให้ หรือ ปกติจำเลยจะเป็นผู้ขายรายย่อย โดยขายให้แก่ลูกค้าที่ติดยาเสพติดแต่ละรายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่เมื่อตำรวจไปติดต่อขอล่อซื้อจำนวนมากและในราคาสูง จำเลยจึงตัดสินใจไปติดต่อพ่อค้ารายใหญ่ เพื่อหายาเสพติดมาขายให้เพื่อต้องการเงินจำนวนมาก เป็นต้น
จากตัวอย่างดังกล่าว จะเห็นว่า การใช้วิธีล่อซื้อเพื่อแสวงหาพยานหลักฐานมาผูกมัดจำเลยนั้น ดูเหมือนจะไม่เป็นธรรมกับจำเลยเท่าไหร่นัก เพราะโดยหลักแล้ว การรักษาความสงบเรียบร้อยในสังคมให้มีความปลอดภัย เป็นภาระหน้าที่ของรัฐที่จะต้องรับผิดชอบ การที่เจ้าหน้าที่รัฐหาพยานหลักฐานโดยใช้วิธีล่อให้จำเลยทำผิด ย่อมแสดงให้เห็นถึงการขาดประสิทธิภาพของรัฐในการรักษาความสงบสุขในสังคม ทั้งยังหมิ่นเหม่ต่อการขัดหลักกฎหมายวิธีพิจารณาความและกฎหมายว่าด้วยเรื่องพยานหลักฐานอีกด้วย เพราะโดยหลักแล้วย่อมเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องหาพยานหลักฐานเอง เพื่อพิสูจน์ความผิดของจำเลย ไม่ใช่หาพยานหลักฐานโดยอาศัยจำเลยเป็นเครื่องมือ ดังจะเห็นได้ว่า แม้แต่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๓๒ ก็ยังบัญญัติไว้ว่า “ห้ามมิให้โจทก์อ้างจำเลยเป็นพยาน”
แต่อย่างไรก็ตาม ก็ต้องยอมรับว่า ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดนั้น ผู้กระทำผิดย่อมต้องระมัดระวังตัวอย่างมาก และมักจะมีการติดต่อซื้อขายกันในที่ลี้ลับ ดังนั้น โอกาสที่เจ้าหน้าที่ของรัฐจะจับกุมผู้กระทำผิดได้คาหนังคาเขา ขณะกำลังทำผิดและได้ของกลางครบถ้วนนั้น ย่อมเป็นไปได้ยาก และหากจะจับภายหลังมีการกระทำผิดไปแล้ว ก็มักจะไม่ได้ของกลาง ทำให้คดีมีพยานหลักฐานไม่เพียงพอที่จะเอาผิดกับผู้กระทำผิดได้ ดังนั้น การล่อซื้อจึงเป็นวิธีการแสวงหาพยานหลักฐานวิธีหนึ่งที่ถือว่ายังจำเป็น เพื่อให้ได้ตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ เพื่อรักษาความสงบสุขของสังคม
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ผู้เขียนก็เห็นว่า เมื่อการล่อซื้อเป็นวิธีการที่หาพยานหลักฐานในการกระทำผิดโดยอาศัยจำเลยเป็นเครื่องมือ ซึ่งไม่น่าจะยุติธรรมต่อจำเลยนักดังเหตุผลที่กล่าวมาแล้ว ดังนั้น ในการลงโทษจำเลยที่ถูกจับจากการล่อซื้อ จึงไม่น่าที่จะลงโทษหนักเท่ากับกรณีจำเลยอื่นที่ถูกจับจากการกระทำผิดที่มีการซื้อขายยาเสพติดกันจริง ๆ การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายโดยวินิจฉัยว่า การล่อซื้อยาเสพติดเป็นเพียงการพยายามกระทำความผิดซึ่งเป็นไปไม่ได้อย่างแน่แท้ ดังที่ผู้เขียนให้เหตุผลไว้ข้างต้น จึงน่าจะเป็นทางออกอย่างหนึ่งที่สามารถให้ความยุติธรรมต่อผู้กระทำผิดที่ถูกจับเพราะเหตุล่อซื้อได้
ข้อสรุป ผู้เขียนเห็นว่า การจำหน่ายยาเสพติดให้กับผู้ล่อซื้อนั้น ไม่ว่าจะจำหน่ายหมดหรือไม่หมด ย่อมเป็นสองกรรมเสมอ เพราะเจตนาในการมียาเสพติดไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย กับ เจตนาจำหน่ายยาเสพติดนั้น สามารถแยกการกระทำออกจากกันได้อย่างชัดเจน และการล่อซื้อยาเสพติดนั้น แม้จะมีการส่งมอบยาเสพติดให้เจ้าพนักงานผู้ล่อซื้อแล้ว ก็ยังไม่น่าจะถือว่า เป็นความผิดสำเร็จ น่าจะเป็นเพียงการพยายามกระทำความผิดซึ่งเป็นไปไม่ได้อย่างแน่แท้เท่านั้น
ในการวินิจฉัยตีความปัญหาข้อกฎหมายนั้น ย่อมเป็นธรรมดาที่อาจมีความคิดเห็นแตกต่างกันไปได้หลายทาง ขึ้นอยู่กับแง่มุม แนวคิด และประสบการณ์ของแต่ละคนที่เรียนรู้มา แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนเห็นว่า ต้องยึดเป็นหลักการสำคัญในการตีความ ก็คือ ต้องตีความกฎหมายให้มี “ความยุติธรรม” มากที่สุด ความยุติธรรม คือ อะไร ในทรรศนะของผู้เขียนเห็นว่า คือ สิ่งที่วิญญูชนส่วนใหญ่ในสังคมมีความเห็นร่วมกันว่า ถูกต้องชอบธรรม มีเหตุมีผล การวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า การที่จำเลยคนหนึ่งขายยาบ้าไป ๑ เม็ด เหลืออีก ๑ เม็ด เป็นสองกรรม ต้องถูกลงโทษจำคุก ๑๐ ปี ขณะที่จำเลยอีกคนหนึ่งขายยาบ้าไปหมดทั้ง ๒ เม็ด เป็นกรรมเดียวและถูกลงโทษจำคุกเพียง ๕ ปี และการวินิจฉัยว่า การล่อซื้อเป็นความผิดสำเร็จ จำเลยที่ถูกจับจากการล่อซื้อต้องรับโทษเช่นเดียวกับจำเลยที่ถูกจับจากการทำผิดที่มีการซื้อขายยาเสพติดกันจริง ๆนั้น ด้วยความเคารพอย่างสูง ผู้เขียนเห็นว่า ไม่ว่าจะพิจารณาในแง่มุมใด คงหาคนในสังคมที่เห็นว่า เป็นการวินิจฉัยที่มี “ความยุติธรรม” ได้ยาก
อนึ่ง หากผู้อ่านท่านใดยังเห็นว่า การขายยาเสพติดหมดเป็นกรรมเดียว ขายไม่หมดเป็นสองกรรม ตามแนวคำวินิจฉัยของศาลฎีกาปัจจุบันอยู่ กรณีที่ผู้เขียนเห็นว่า การล่อซื้อยาเสพติดเป็นเพียงการพยายามกระทำความผิด ตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๘๑ นั้น ก็น่าจะเป็นการตีความกฎหมายที่ช่วยสนับสนุนให้การใช้ดุลพินิจกำหนดโทษจำเลยมีความยุติธรรมมากขึ้น ทั้งนี้ เพราะหากตีความว่าเป็นความผิดสำเร็จ ก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องลงโทษผู้กระทำผิดทั้งสองกรณี ในอัตราโทษที่แตกต่างกันค่อนข้างมาก อย่างน้อยที่สุดก็แตกต่างกันเท่ากับอัตราโทษขั้นต่ำสุดของความผิดฐานใดฐานหนึ่งที่กฎหมายกำหนด แต่หากตีความว่า เป็นเพียงการพยายามกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๑ แล้ว ในการใช้ดุลพินิจลงโทษจำเลยย่อมสามารถกำหนดโทษให้เหมาะสมได้โดยไม่แตกต่างกันมากนัก ความรู้สึกของประชาชนน่าจะพอรับได้ และประการสุดท้าย ผู้เขียนเห็นว่า ในการใช้ดุลพินิจกำหนดโทษจำเลยในข้อหาจำหน่ายยาเสพติดกรณีล่อซื้อนั้น ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะพิจารณากำหนดโทษ โดยนำจำนวนหรือปริมาณยาเสพติดที่ตำรวจล่อซื้อได้เป็นเกณฑ์ในการตัดสินอย่างเดียว เพราะมิฉะนั้น ชะตาชีวิตของจำเลยย่อมขึ้นอยู่กับความต้องการของตำรวจผู้ล่อซื้อว่า ประสงค์จะให้จำเลยได้รับโทษมากน้อยเท่าใด./
[1] ลงพิมพ์เผยแพร่ในนิตยสาร “ดุลพาห” เล่ม ๒ ปีที่ ๔๙ พฤษภาคม - สิงหาคม ๒๕๔๕ และวารสารกฎหมาย มสธ. ปีที่ ๑๔ ฉบับที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๔๕.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น