โดย...โสต สุตานันท์
ทุกสรรพสิ่งในโลกนี้มีประโยชน์มีคุณค่าอยู่ในตัวเสมอ เชื้อโรคต่าง ๆแม้จะเป็นภัยคุกคามต่อชีวิตมนุษย์ แต่ก็เป็นประโยชน์ต่อการสร้างสมดุลธรรมชาติในหลาย ๆด้าน นอกจากนั้นยังมีประโยชน์ในแง่ของการกระตุ้นหรือผลักดันให้มนุษย์ได้ศึกษาเรียนรู้ในเรื่องของวิทยาศาสตร์ อีกทั้งยังเป็นการสร้างงาน สร้างอาชีพให้กับผู้คนในสังคมอีกมากมายมหาศาล หากสังคมไม่มีโจรผู้ร้าย ตำรวจ อัยการ ผู้พิพากษา ทนายความ และเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ก็คงตกงาน หากสังคมไม่มีคนชั่วหรือคนไม่ดีแล้วจะมีคนดีอย่างท่านผู้อ่านได้อย่างไร
ในท่ามกลางความทุกข์ ความขัดแย้ง ความวุ่นวายสับสนของสังคมที่เป็นอยู่ ณ ขณะนี้ ผู้เขียนรู้สึกดีใจและมองเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ขึ้นมาทันที เมื่อได้ยินคำกล่าวที่ว่า “ปฏิรูปประเทศไทย” ดังขึ้นในสังคม ขอขอบคุณคนไทยทุกคนไม่ว่าจะสวมเสื้อสีอะไร เป็นไพร่หรืออำมาตย์ เป็นคนชั่วหรือคนดี ที่มีส่วนก่อให้เกิดวาทกรรมดังกล่าวขึ้นมา
ไม่ว่าสถานการณ์บ้านเมืองต่อแต่นี้ไปจะเลวร้ายหรือก่อให้เกิดความเสียหาย มีผู้คนบาดเจ็บล้มตายมากเพียงใดก็ตาม แต่ก็เชื่อว่า ท้ายที่สุดคนไทยจะต้องหันหน้าเข้าเจรจาตกลงกัน เพื่อหาทางออกให้กับสังคม ผู้เขียนไม่เชื่อว่ามนุษย์พันธุ์ไทยแท้หรือพันธุ์ไทยผสมที่อาศัยอยู่บนผืนแผ่นดินแห่งนี้จะรบราเข่นฆ่าห้ำหั่นกันจนตายกันไปทั้งหมดข้างหนึ่งหรือทั้งสองฝ่าย เพราะผู้เขียนมีความเชื่อตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ มีสมอง มีสติปัญญา สามารถฝึกฝนเรียนรู้และพัฒนาไปสู่สิ่งที่ดีงามได้ และธรรมชาติของมนุษย์เป็นสัตว์สังคมต้องอาศัยพึ่งพาซึ่งกันและกันจึงจะอยู่รอด อย่าว่าแต่สัตว์ประเสริฐอย่างมนุษย์เลย แม้แต่สัตว์เดียรัจฉานเช่นสุนัขยังรู้จักเอาตัวรอด เพราะตั้งแต่เกิดมาผู้เขียนยังไม่เคยเห็นสุนัขกัดกันไม่เลิกจนตัวมันเองต้องบาดเจ็บถึงขั้นล้มตายเลย
กล่าวโดยสรุปก็คือ ผู้เขียนเชื่อมั่นว่า อย่างไรเสียสักวันหนึ่งสังคมไทยจะต้องหันหน้าเข้ามาปรึกษาหารือร่วมกันเพื่อ “ ปฏิรูปประเทศไทย” กันอย่างจริงจัง ไม่อยากทำก็ต้องทำเพราะไม่มีทางเลือกอื่นใดอีกแล้ว ส่วนวันนั้นจะมาถึงเมื่อไหร่ ช้าเร็วอย่างไร ก็คงต้องขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยต่าง ๆตามกฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติ ซึ่งผู้เขียนคงไม่มีข้อมูลความรู้เพียงพอที่จะสามารถคาดเดาเหตุการณ์ล่วงหน้าได้
ไอน์สไตน์ เคยกล่าวไว้ว่า “จินตนาการ สำคัญกว่าความรู้” อีกทั้งในทางพระพุทธศาสนาก็มีการกล่าวถึงสังคมในยุค “พระศรีอารยะเมตไตร” ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่า หมายถึงสังคมที่ประกอบไปด้วยมนุษย์ที่มีความสมบูรณ์สูงสุดในทุก ๆด้าน ทั้งด้านพฤติกรรม จิตใจและปัญญา โอกาสนี้ จึงใคร่ขอเชิญชวนคนไทยทั้งหลายมาร่วมกันจินตนาการว่า เราต้องการให้ภาพสังคมไทยในอนาคตเป็นอย่างไร ทั้งนี้เพื่อจะได้เป็นการสร้างมโนภาพสังคมในอุดมคติให้แจ่มชัดและฝังแน่นอยู่ในหัวใจประชาชน อันจะเป็นโยชน์อย่างยิ่งในทางจิตวิทยา สำหรับใช้เป็นกุศโลบายในการพัฒนาสังคมให้ก้าวไปสู่ความดีงามยิ่ง ๆขึ้นไป นอกจากนั้น หากพิจารณาในแง่ของ “พลังจิต” ก็เป็นเรื่องที่น่าคิดและน่าสนใจไม่น้อยว่า ถ้าคนไทยทั้งชาติมีจินตนาการ มีความคิดความฝันร่วมกันในการที่จะช่วยกันนำพาสังคมให้ก้าวไปสู่ความดีงามแล้ว พลังจิตที่หลอมรวมกันขึ้นมานั้นจะมีอานุภาพมากมายมหาศาลแค่ไหน
เนื่องจากเป็นเรื่องใหญ่และมีขอบเขตกว้างขวาง อีกทั้งที่ผ่านมาสังคมไทยได้สั่งสมหมักหมม ปัญหาต่าง ๆไว้อย่างมากมายและยาวนาน ประเด็นที่หยิบยกขึ้นมาสร้างฝันร่วมกับผู้อ่านในวันนี้ ก็คงจะเป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของปัญหาทั้งหมด แต่ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าคงจะมีส่วนในการช่วยจุดประกายความฝันให้แผ่ขยายออกไป จนมีพลังมากพอที่จะช่วยทำให้การปฏิรูปประเทศไทยประสบผลสำเร็จได้
๑.) การเมืองการปกครอง - พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า อัตตา หิ อัตตโน นาโถ คือ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ดังนั้น รูปแบบการเมืองการปกครองที่ดีที่สุดจึงน่าจะได้แก่ การกระจายอำนาจให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยการกระจายอำนาจที่สมบูรณ์สูงสุดก็คือ การให้ประชาชนทุกคนปกครองตนเอง กฎหมายที่บัญญัติขึ้นมาจะมีจุดประสงค์เพียงเพื่อเป็น “ข้อหมายรู้ร่วมกัน” คือ เป็นเพียงเครื่องหมายให้ผู้คนในสังคมได้รู้ว่าเราควรจะอยู่ร่วมกันอย่างไรเท่านั้นเอง ไม่ใช่มีเจตนาใช้เป็น “เครื่องบังคับ” ให้ต้องปฏิบัติตามเหมือนเช่นทุกวันนี้
ประเทศไทยมีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์พร้อมทุกอย่าง ดังนั้นการคิดยืนอยู่บนลำแข้งของตนเองจึงไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร ที่ผ่านมาก็มีตัวอย่างของบุคคลหรือชุมชนที่ประสบผลสำเร็จอย่างสูงในการพึ่งพาตนเองปรากฏให้เห็นจำนวนไม่น้อย ซึ่งหากเราใช้เป็นต้นแบบในการพัฒนาประเทศความฝันก็อยู่แค่เอื้อม จะสังเกตเห็นได้ว่า ที่ผ่านมาดูประหนึ่งว่าเหล่านักการเมืองทั้งหลายจะไม่ต้องการให้ประชาชนพึ่งตนเองได้ คนอย่างผู้ใหญ่วิบูลย์ เข็มเฉลิม หรือลุงผาย สร้อยสระกลาง จึงเป็นสิ่งแปลกปลอมในสายตาของนักการเมืองไทย เพราะเขารู้ดีว่าหากประชาชนพึ่งตนเองได้เมื่อใด ความสำคัญของนักการเมืองเช่นเขาก็จะลดลง นโยบายที่เรียกว่า “ประชานิยม” จึงได้รับการสนับสนุนและเฟื่องฟูมากยิ่งกว่านโยบาย “เศรษฐกิจพอเพียง” อย่างเทียบกันไม่ได้ เพราะฉะนั้น นักการเมืองในฝันของเราจึงควรจะได้แก่ นักการเมืองที่มีแนวคิดอุดมการณ์ไปในทางส่งเสริมสนับสนุนให้ประชาชนพึ่งตนเองให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ใช่คิดแต่จะให้พึ่งพารัฐเหมือนเช่นทุกวันนี้
สำหรับรูปแบบแนวทางในการส่งเสริมสนับสนุนให้ประชาชนพึ่งตนเองนั้น นอกจากจะเน้นให้ความรู้ ให้การศึกษาแก่ประชาชนเพื่อเป็นการเสริมสร้าง “ปัญญา” แล้ว เหตุปัจจัยในเรื่อง “โครงสร้าง” ของสังคมก็มีความสำคัญอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงสร้างกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องสิทธิการถือครองที่ดิน เพราะอาชีพพื้นฐานของคนไทยส่วนใหญ่ คือ เกษตรกรรม ซึ่งหากไม่มีที่ดินทำกินเป็นของตนเองแล้ว ก็คงเป็นเรื่องยากที่จะพึ่งพาตนเองได้ สัดส่วนการถือครองที่ดินในปัจจุบัน ที่คนเพียงแค่ไม่ถึง ๒๐ เปอร์เซ็นต์ เป็นเจ้าของที่ดินจำนวนกว่า ๘๐ เปอร์เซ็นต์ จึงต้องได้รับการแก้ไขโดยเร่งด่วน นอกจากนั้น โครงสร้างที่สำคัญในเรื่องอื่น ๆเช่น โครงสร้างภาษี แหล่งทุน กลไกตลาด ระบบสหกรณ์ ฯลฯ ก็ต้องได้รับการปฏิรูปขนานใหญ่พร้อม ๆกันไปด้วย
๒.) การศึกษา - ต้องยอมรับความจริงกันว่า ปรัชญาแนวคิดและระบบการศึกษาในบ้านเมืองเราที่ผ่านมาผิดทิศผิดทางมาโดยตลอด เริ่มตั้งแต่คนโบราณที่สั่งสอนลูกหลานให้เรียนหนังสือเพื่อไปเป็นเจ้าคนนายคน วัฒนธรรมแนวคิดที่เรียกว่า “อำนาจนิยม” จึงแผ่ขยายไปทุกหย่อมหญ้า ต่อมาเมื่อเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม ยุควิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ก็มุ่งเรียนรู้เพื่อให้ได้ปริญญาบัตรสำหรับนำไปใช้เป็นใบเบิก –ทางในการแสวงหาทรัพย์สินเงินทอง คือ เรียนเพื่อเพิ่มอัตตา เพื่อสนองกิเลสความต้องการของตนเองเป็นสำคัญ คำว่า “จิตสำนึกสาธารณะ” ไม่เคยถูกปลูกฝังไว้ในหัวใจของผู้คน รัฐเองก็ตั้งหน้าตั้งตาผลิตคนให้ออกไปเป็นทาสรับใช้ระบบทุนนิยม เป็นมนุษย์เงินเดือน คุณค่าของมนุษย์จึงถูกลดลงเหลือเพียงแค่เป็นชิ้นส่วนตัวหนึ่งของเครื่องจักรเท่านั้น ผลที่ตามมาก็ดังปรากฏให้เห็นกันอยู่ทุกวันนี้ คงไม่จำต้องยกตัวอย่างให้เจ็บปวดหัวใจกันอีก
ท่านเจ้าคุณพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) เคยกล่าวไว้ว่า กระบวนการศึกษาเพื่อพัฒนามนุษย์นั้น จะต้องดำเนินการอย่างเป็นระบบครบ ๓ ด้าน เรียกว่า “ไตรสิกขา” คือ พฤติกรรม จิตใจ และปัญญา โดยหากมนุษย์สามารถพัฒนาตนจนเข้าถึงธรรมด้วยปัญญาและด้วยจิตใจแล้ว ก็จะส่งผลทำให้มีพฤติกรรมที่เข้าถึงธรรมตามไปด้วย และเมื่อผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมได้รับการพัฒนาจนเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบแล้ว ความสงบสุขและสันติภาพย่อมเกิดขึ้นในโลก ดังนั้น ทิศทางของการศึกษาของไทยในอนาคตต้องสามารถตอบโจทย์ดังกล่าวให้ได้
๓.) การศาสนา - ท่านพุทธทาสภิกขุ เคยกล่าวไว้ว่า “...ถ้ารู้จักการเมืองอย่างถูกต้องตามกฎของธรรมชาติแล้ว จะเห็นว่า การเมืองก็คือ ธรรมะ ระบบธรรมะที่จะช่วยให้มนุษย์อยู่เป็นปกติสุข เป็นสายหนึ่ง แขนงหนึ่งของธรรมะทั้งหลาย เดี๋ยวนี้ธรรมะชนิดนี้หรือการเมืองชนิดนี้มีไม่ได้ในโลก เพราะว่ามนุษย์มันตกเป็นทาสของวัตถุ คือ ความสุขทางเนื้อหนัง...
อย่าไปเข้าใจว่า การเมืองไม่เกี่ยวกับศาสนาหรือการเมืองไม่เกี่ยวกับพุทธบริษัท การเมืองที่ถูกต้องต้องเกี่ยวข้องกับทุกคน...
ถ้ามองอย่างละเอียดแล้ว พูดได้เลยว่า พระพุทธเจ้าก็เป็นจอมโจกของนักการเมือง คือ จะจัดโลกให้มีความสงบสุข...”
จากแนวคิดความเห็นดังกล่าว จะเห็นได้ว่า ข้อผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงของสังคมไทยที่ผ่านมาก็คือ เราได้พยายามกันศาสนาออกจากการเมืองมาโดยตลอด ทั้ง ๆที่เป็นเรื่องเดียวกัน เพราะธรรมะ ก็คือ หน้าที่ สังคมจะสงบสุขและพัฒนาได้ สมาชิกในสังคมต้องทำหน้าที่โดยมีธรรมะแทรกกำกับอยู่ตลอดเวลาในทุก ๆเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการทำหน้าที่ต่อตนเอง ต่อครอบครัว ต่อสังคมหรือประเทศชาติโดยส่วนรวม ดังนั้น โจทย์สำหรับสังคมในฝันข้อนี้ก็คือ เราจะทำอย่างไร เพื่อให้องค์ความรู้ทางโลกและทางธรรมประสานเป็นหนึ่งเดียว สามารถนำเอาองค์ความรู้ทางธรรมไปปรับใช้กับทางโลกได้อย่างสอดคล้องกลมกลืน เหมาะสมลงตัว และมีประสิทธิภาพสูงสุด ไม่ใช่อยู่คนละโลกเดียวกันเหมือนเช่นที่ผ่านมา
ท้ายที่สุดนี้ ผู้เขียนขอนำประสบการณ์ส่วนตัวเรื่องหนึ่งมาเล่าให้ท่านผู้อ่านฟัง เมื่อปลายปีที่ผ่านมาผู้เขียนได้มีโอกาสเข้าร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่อง “การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมเพื่อสังคมด้วยกระบวนทัศน์ใหม่” โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมมาจากหลายหน่วยงาน ทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมโดยตรง และจากหน่วยงานหรือองค์กรเอกชนอื่น ๆ ลักษณะการประชุมจะเน้นการระดมสมองจากผู้เข้าร่วมประชุม ไม่เน้นรูปแบบการบรรยายจากผู้เชี่ยวชาญ แต่จะมีวิทยากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในเรื่องของการพัฒนาองค์กรที่ทันสมัย เป็นผู้นำการพูดคุยด้วยเทคนิคการแลกเปลี่ยน และอภิปรายร่วมกันแบบ World Café Caravan และ Open Space Technology ซึ่งเป็นเทคนิคการสร้างกระบวนทัศน์แบบใหม่อันเป็นที่นิยมในระบบบริหารงานแบบใหม่ในระดับสากล
ตลอดเวลาการประชุม ๓ วันเต็ม ๆผู้เขียนรู้สึกทึ่งและประทับใจมาก ที่แต่ละคนมีความคิดความเห็น มีจินตนาการ มีข้อเสนอดี ๆมากมายหลายเรื่องเกี่ยวกับการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมของไทย หลังเสร็จสิ้นการประชุมผู้เขียนรู้สึกอิ่มเอมใจ เต็มไปด้วยความหวัง อย่างไรก็ตาม เรื่องเศร้าก็เกิดขึ้นในช่วงระหว่างที่เดินทางกลับ (เดินทางโดยรถบัสประมาณ ๓๐ คน) กล่าวคือ คนขับรถขับผิดช่องทาง ตำรวจจราจรจึงเรียกให้จอดข้างทาง ทันทีที่ตำรวจเรียกให้หยุดรถปรากฏว่า คนในรถซึ่งมีทั้งตำรวจ อัยการ ผู้พิพากษา กลุ่มเอ็นจีโอ ฯลฯ พูดกันเสียงระเบ็งเซ็งแซ่ในทำนองทีเล่นทีจริงว่า ให้ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายลงไปช่วยแสดงอำนาจบารมีให้เป็นที่ประจักษ์ ซึ่งในที่สุดก็มีตำรวจยศพันตำรวจเอกคนหนึ่งลงไปช่วยพูดคุยแก้ไขปัญหาให้ คนขับรถจึงไม่ต้องเสียค่าปรับเลยแม้แต่บาทเดียว พูดง่าย ๆก็คือ ใช้เส้นนั่นแหละ ขณะกลับขึ้นรถนายตำรวจใหญ่ท่านนั้น ดูเหมือนจะเดินยืดอกอย่างภาคภูมิใจ อีกทั้งยังพูดในทำนองตำหนิหรือดูหมิ่นดูแคลนการทำหน้าที่ของตำรวจจราจรด้วยซ้ำไป ยอมรับว่า อารมณ์ความรู้สึกของผู้เขียนในขณะนั้น รู้สึกใจหายหดหู่และสิ้นหวัง เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ เรายังไม่สามารถปฏิบัติตามกฎเกณฑ์กติกาของสังคมได้ ทั้ง ๆที่เป็นผู้มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง แล้วเรื่องใหญ่โตอื่น ๆอย่างเช่นการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมตามที่ได้ร่วมกันคิด ร่วมกันฝันตลอด ๓ วันที่ผ่านมา เราจะมีปัญญาทำได้อย่างไร
จากตัวอย่างประสบการณ์ที่เล่ามาดังกล่าว ทำให้ผู้เขียนฉุกคิดถึงคำกล่าวของท่านมหาตมะคานธี ที่ว่า “หากต้องการเปลี่ยนแปลงโลก จงเปลี่ยนแปลงตนเอง” ดังนั้น ระหว่างที่รอคณะกรรมการหรือคณะอะไรก็แล้วแต่ที่จะมีการแต่งตั้งขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่คิดอ่านในการ “ปฏิรูปประเทศไทย”ในอนาคต ผู้เขียนขอเชิญชวนคนไทยทั้งหลายมาร่วมกันเตรียมตัวเตรียมใจในการที่จะมีส่วนร่วมปฏิรูปประเทศไทยด้วยการเริ่มต้น “ปฏิรูปตัวเอง” ก่อน หยุดตำหนิกล่าวโทษให้ร้ายคนอื่น หันกลับมาสำรวจตรวจสอบตัวเอง หากพบข้อผิดพลาดบกพร่องก็ให้รีบแก้ไขโดยเร็วไม่ว่าเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ และตั้งใจทำหน้าที่ของตนเองในทุก ๆด้านอย่างครบถ้วนสมบูรณ์สูงสุด ผู้เขียนเชื่อมั่นว่า หากคนไทยส่วนใหญ่พร้อมใจกันคิดเริ่มต้นเช่นนี้ การปฏิรูปประเทศไทยจะประสบผลสำเร็จได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว แต่หากคนไทยยังคิดเหมือนเดิม ทำเหมือนเดิม ชี้หน้าด่าโทษ ว่ากล่าวให้ร้ายแต่คนอื่นเหมือนเดิม โดยไม่หันมาพิจารณาตรวจสอบตัวเองเลย ไม่ว่าจะอีกกี่ร้อยกี่พันปีก็คงไม่สามารถปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นผลสำเร็จได้./
------------------------------
ธรรมะ คือ หน้าที่ที่จะต้องประพฤติกระทำให้อยู่กันเป็นผาสุกทั้งโดยส่วนตัวและส่วนรวม
พุทธทาสภิกขุ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น