โดย ... โสต สุตานันท์
นับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๕ เป็นต้นมา สังคมไทยประสบกับเหตุการณ์ที่เรียกว่า “วงจรอุบาศก์” มาโดยตลอด กล่าวคือ หลังประชาชนเลือกตั้งตัวแทนเข้าไปทำหน้าที่ในสภาแล้ว เหล่านักการเมืองที่ได้รับเลือกทั้งหลายซึ่งส่วนใหญ่มักจะถูกข้อครหานินทาหรือเป็นที่เคลือบแคลงสงสัยจากสังคมว่าได้รับเลือกเข้าไปด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรมหรือไม่ อย่างไร ก็จะพยายามใช้กลยุทธ์กลวิธีทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เสียงส่วนใหญ่ในการจัดตั้งรัฐบาล มีการชิงไหวชิงพริบ เจรจาต่อรอง แลกเปลี่ยนผลประโยชน์หรือแม้กระทั่งหักหลัง ให้ร้ายป้ายสี ทำลายล้างกัน เกิดปรากฏการณ์ที่เรียกกันว่างูเห่าไปแล้วก็หลายครั้ง โดยไม่สนใจใยดีความรู้สึกของประชาชน
หลังจัดตั้งรัฐบาลได้แล้ว ก็จะมีการบริหารราชการแผ่นดินไปซักระยะหนึ่ง จากนั้น ก็จะเริ่มมีข่าวคราวเกี่ยวกับเรื่องการทุจริตคอรัปชั่นในกระทรวงต่าง ๆเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ ต่อมาก็จะเกิดปัญหาข้อขัดแย้งระหว่างฝ่ายค้านกับฝ่ายรัฐบาล รวมทั้งกลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆในสังคมอย่างรุนแรง ท้ายที่สุดทหารก็จะอดทนรนไม่ไหวหรือใช้เป็นเหตุผลข้ออ้างเข้าทำการรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาล แต่เมื่อยึดอำนาจได้แล้วทหารก็ไม่สามารถรักษาอำนาจและปกครองบ้านเมืองต่อไปได้ เนื่องจากจะถูกกระแสสังคมทั้งจากภายในและนอกประเทศกดดันให้คืนอำนาจแก่ประชาชน โดยเฉพาะกระแสที่เกิดขึ้นจากคำว่า “ประชาธิปไตย” ในที่สุดทหารก็จำต้องปล่อยอำนาจออกจากมือ ยอมให้มีการเลือกตั้งกันใหม่
แต่ก็ปรากฏว่า ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นหนังเรื่องเดิม ประชาชนยังคิดเหมือนเดิม นักการเมืองยังทำเหมือนเดิม ผลการเลือกตั้งที่ออกมาก็ได้ตัวแทนแบบเดิม ๆ รูปแบบแนวทางในการพยายามรวบรวมเสียงส่วนใหญ่เพื่อจัดตั้งรัฐบาลก็ยังเป็นแบบเดิม หลังจากนั้น ก็จะมีการทุจริตคอรัปชั่นเกิดขึ้นเหมือนเดิมและท้ายที่สุดทหารก็ยังคิดแก้ไขปัญหาด้วยการรัฐประหารเหมือนเดิม เป็นวงจร อุบาศก์อย่างนี้ครั้งแล้วครั้งเล่าและไม่มีหลักประกันอะไรที่จะยืนยันได้ว่าในอนาคตจะไม่เกิดขึ้นอีก
จากสภาพปัญหาดังที่กล่าวมา ส่งผลทำให้ประชาชนเริ่มตั้งคำถามกันมากขึ้นเป็นลำดับว่าการเมืองแบบเดิม ๆจะนำพาประเทศเราก้าวลงสู่หุบเหวหายนะและถลำลึกลงไปเรื่อย ๆหรือไม่ จนกระทั่งปัจจุบันได้เกิดวาทกรรมที่เรียกว่า “การเมืองใหม่” ขึ้นมาเพื่อเป็นโจทย์ให้ผู้คนในสังคมได้ขบคิดว่าถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะต้องเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าการเมืองของประเทศใหม่ให้ก้าวพ้นจากการเมืองแบบเดิม ๆกันเสียที
โอกาสนี้ ผู้เขียนใคร่ขอร่วมวงเสวนาด้วยการนำคำว่า “การเมืองใหม่” มาถกเถียงวิเคราะห์วิจารณ์และแลกเปลี่ยนความเห็นกับท่านผู้อ่านโดยยึดหลักปรัชญาแนวคิด “นิติศาสตร์แนวพุทธ” เป็นแนวทางในการวิเคราะห์ปัญหาและนำเสนอความเห็น ดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ
หากพิจารณาแนวคิดในเรื่องของ “กฎธรรมชาติ” และ “กฎมนุษย์” ดังที่กล่าวไปแล้วในบทที่ ๑ แนวทางในการแก้ไขปัญหาน่าจะได้แก่ อันดับแรก เราต้องพยายามจัดสร้างระบบกฎเกณฑ์ของมนุษย์ ให้สอดคล้องสัมพันธ์หรือเชื่อมโยงกลมกลืนกับระบบกฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติก่อน จากนั้นก็จัดระบบในการให้การศึกษาแก่มนุษย์ในสังคมเพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจทั้งกฎธรรมชาติและกฎมนุษย์อย่างถูกต้องแท้จริง
ปัญหาก็คือว่าในการสร้างกฎมนุษย์นั้นต้องอาศัยมนุษย์ด้วยกันเองเป็นคนสร้าง ในความเป็นจริงคงไม่สามารถไปหาจดจารได้ที่กำแพงสวรรค์ บนแผ่นฟ้าหรือดาวดวงใดในจักรวาล หากสังคมใด ไม่มีมนุษย์ที่มีสติปัญญาอันเฉียบแหลม มีความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งทะลุปรุโปร่งในกฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติ และมีความสามารถอย่างสูงส่งในการที่จะคิดจัดตั้งวางกฎมนุษย์ให้ประสานสอดคล้องกับความจริงแท้แห่งกฎธรรมชาติแล้ว เป้าหมายที่ต้องการก็คงเป็นเรื่องเพ้อฝันลม ๆแล้ง ๆเท่านั้น
คำถามก็คือว่า แล้วสังคมไทยมีคนที่มีคุณสมบัติดังกล่าวหรือไม่ ผู้เขียนเชื่อว่าต้องมีแน่นอน ถึงไม่มีวันนี้วันหน้าก็ต้องมี โดยหากเรามีความรู้ความเข้าใจในเบื้องต้นเกี่ยวกับกรอบความคิดในเรื่องของกฎธรรมชาติ – กฎมนุษย์ อย่างถูกต้องและมีอุดมการณ์ มีจิตใจที่แน่วแน่มั่นคงอย่างแท้จริงแล้ว ก็คงไม่มีอะไรที่จะเกินขีดความสามารถของมนุษย์ไปได้ เพราะตามแนววิถีแห่งพุทธมองว่ามนุษย์มีระดับจิตใจและสติปัญญาที่แตกต่างจากสัตว์โลกทั่วไป ไม่ได้ดำรงชีวิตอยู่ด้วยสัญชาติญาณเพียงอย่างเดียว อีกทั้งยังมองว่ามนุษย์มีปัญญาสามารถฝึกฝนเรียนรู้และพัฒนาไปสู่สิ่งที่ดีงามได้และที่สำคัญธรรมชาติได้สร้างสิ่งมหัศจรรย์ที่สุดให้แก่มนุษย์เราเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการศึกษาเรียนรู้ นั่นก็คือ “สมอง” นั่นเอง
จากที่กล่าวมา ผู้เขียนจึงขอเสนอจุดตั้งต้นสำหรับแนวคิดในการสร้าง “การเมืองใหม่” ด้วยการเริ่มต้นที่การแก้ไขปรับปรุงกฎมนุษย์ที่เรียกว่า “รัฐธรรมนูญ” ให้มีความสอดคล้องสัมพันธ์กับกฎธรรมชาติ ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้ คือ
๑. ตั้งคณะทำงานขึ้นมา ๓ ชุด ได้แก่ ชุดแรก มาจากกลุ่มนัก วิชาการ นักปฏิบัติ หรือนักเคลื่อนไหวทั่วไปในสังคม จากทุกสาขาอาชีพ ชุดที่สอง มาจากนักคิดนักปราชญ์ นักปรัชญาหรือนักการศาสนาที่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์และเป็นที่ยอมรับนับถือของสังคมอย่างกว้างขวาง ชุดที่สาม มาจากกลุ่มนักกฎหมายที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษในด้านกฎหมายรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายมหาชน
๒. คณะทำงานชุดแรกมีหน้าที่ศึกษาค้นคว้าแนวคิดทฤษฎีต่าง ๆและเก็บรวบรวมข้อมูล ข้อเท็จจริง ปรากฏการณ์ หรือสภาพปัญหาต่าง ๆที่เกิดขึ้นในสังคม รวมทั้งสำรวจสอบถามความคิดความเห็น ของประชาชนคนไทยในแง่มุมต่าง ๆ ฯลฯ จากนั้น ให้นำเสนอข้อมูลและความคิด ความเห็นที่ได้ไปยังคณะทำงานชุดที่สอง เพื่อทำการคิดวิเคราะห์ว่าประเด็นปัญหาในแต่ละเรื่องมีกฎธรรมชาติที่เกี่ยวข้องอย่างไรบ้างและควรจะสร้างกฎมนุษย์อย่างไรให้สอดคล้องสัมพันธ์กันอย่างกลมกลืนกับกฎธรรมชาติในเรื่องนั้น ๆต่อมาก็จะเป็นหน้าที่ของคณะทำงานชุดที่สาม ในการที่จะนำหลักการแนวคิดของคณะทำงานชุดที่สองไปร่างเป็นกฎหมายรัฐธรรมนูญขึ้นมา ซึ่งเป็นการทำหน้าที่ในด้านเทคนิคเท่านั้น โดยต้องใช้ศิลปะในการใช้ภาษาให้มีนัยความหมายอย่างถูกต้องตรงตามเจตนารมณ์แห่งหลักการแนวคิดที่คณะทำงานชุดที่สองได้ให้ไว้
๓. นำร่างรัฐธรรมนูญออกเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้ศึกษาเรียนรู้และทำความเข้าใจ รวมทั้งจัดเวทีให้มีการถกเถียง แลกเปลี่ยนความคิดความเห็นระหว่างกันอย่างกว้างขวางให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ทั้งในสภาและนอกสภา จากนั้นก็นำความคิดความเห็นที่ได้รับการสะท้อนกลับมา ไปประกอบการพิจารณาเพื่อทบทวนปรับปรุงร่างรัฐธรรมนูญอีกครั้งหนึ่งและเมื่อเห็นว่าถูกต้องสมบูรณ์แล้วก็ให้นำเสนอประชาชนเพื่อลงประชามติ หากประชาชนส่วนใหญ่ให้ความเห็นชอบก็ดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
๔. หลังรัฐธรรมนูญมีผลบังคับใช้และนำไปสู่ภาคปฏิบัติที่เป็นจริงแล้วย่อมแน่นอนว่า ปัญหาหลักที่จะตามมาก็คือ
๔.๑ กฎมนุษย์บางข้ออาจไม่ถูกต้องหรือสอดคล้องสัมพันธ์กับกฎธรรมชาติอย่างที่เราคิด อีกทั้งยังมีกฎธรรมชาติบัญญัติไว้ข้อหนึ่งว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน นอกจากการเปลี่ยนแปลง ทุกสิ่งทุกอย่าง เกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ดับไป กฎมนุษย์จึงต้องปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์และสิ่งแวดแล้วที่เปลี่ยนแปลงไปด้วย ดังนั้น จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องจัดตั้งวางระบบหรือกระบวนการในการ แก้ไขปรับปรุงรัฐธรรมนูญในอนาคตไว้อย่างถูกต้องเหมาะสม ซึ่งโดยหลักการแล้วก็น่าจะมีรูปแบบวิธีการทำนองเดียวกันกับการร่างครั้งแรกดังกล่าวข้างต้น อย่างไรก็ตาม หากประเด็นใดไม่ใช่เรื่องที่สำคัญอย่างแท้จริงก็อาจตัดขั้นตอนการลงประชามติออกไป โดยให้ทั้งสองสภาทำหน้าที่แทนก็ได้
๔.๒ ถึงแม้หลักการตามรัฐธรรมนูญจะมีความสัมพันธ์ สอดคล้องกับกฎธรรมชาติเป็นอย่างดี แต่หากมนุษย์ยังขาดการศึกษา ไม่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องของกฎธรรมชาติและกฎมนุษย์ที่ดีพอ ความวุ่นวายสับสนและปัญหาต่าง ๆย่อมเกิดขึ้นตามมาอีก ดังนั้น จึงต้องมีการปฏิรูประบบการสร้างองค์ความรู้ให้กับประชาชนอย่างขนานใหญ่ในทุกภาคส่วนของสังคมโดยเฉพาะในครอบครัวและโรงเรียน ซึ่งถือเป็นก้าวแรกในการศึกษาเรียนรู้ หากเรามีการเริ่มต้นที่ดีก็เท่ากับว่าสำเร็จไปแล้วกึ่งหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม โดยที่ขณะนี้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้กำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของทั้งสองสภาในการที่จะพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๙๑ ดังนั้นในการดำเนินการแก้ไขปรับปรุงรัฐธรรมนูญตามแนวทางความเห็นข้างต้นก็คงจำเป็นจะต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตราดังกล่าวเสียก่อน เพราะฉะนั้นก้าวแรกที่ต้องขยับก่อนจึงเป็นหน้าที่ของ “ฝ่ายนิติบัญญัติ” ส่วนก้าวต่อไปก็คงจะเป็นบทบาทของ “ประชาภิวัฒน์”
ท้ายที่สุดนี้ ผู้เขียนขอฝากแง่คิดต่อสังคมไทยว่าโดยที่ปัญหาของสังคมโลกทุกวันนี้มีความสลับซับซ้อนเป็นอย่างมาก อีกทั้งปัญหาหลายเรื่องในบ้านเมืองเราก็มีการสั่งสมหมักหมมมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ดังนั้นคงไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างแน่นอนในการที่จะคิดแก้ไขปัญหากัน บางครั้งบางเรื่องอาจต้องใช้เวลาพอสมควร สังคมไทยจึงต้องมีความอดกลั้นอดทนเป็นอย่างสูง โดยยึดถือคติที่ว่า “ความอดทนนั้นแม้จะเหนื่อยและหนัก แต่ผลของมันย่อมหอมหวานเสมอ” และที่สำคัญประชาชนคนไทยต้องหันหน้าเข้าหากัน มีความรู้รักสามัคคี ร่วมกันคิดร่วมกันทำ ร่วมกันระดมมันสมองระดมสติปัญญา เพื่อหาทางออกในการแก้ไขวิกฤตปัญหาให้กับบ้านเมือง
นอกจากนั้นสังคมไทยต้องพยายามมองโลกในแง่บวก โดยมองว่ามนุษย์ทุกคนมีปัญญา สามารถฝึกฝนเรียนรู้และพัฒนาไปสู่สิ่งที่ดีงามได้ อีกทั้งต้องมองว่าคนไทยทุกคนเป็นเพื่อนร่วมทาง เป็นเพื่อนร่วมชีวิต ร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกัน เราต้องรู้จักเสียสละ ให้อภัย รู้จักเห็นอกเห็นใจ และช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน เราต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสันติกับคนที่มีความคิดเห็นแตกต่างจากเราให้ได้ หากวันนี้เรายังมีทิฐิมานะ มีแต่ความโกรธความแค้น ความเกลียดชัง แยกกลุ่มแยกฝ่าย โทษกันไปโทษกันมา มุ่งแต่จะคอยทำลายล้างเอาชนะคะคานกันแล้ว ก็คงจะเป็นการพ้นวิสัยที่เราจะก้าวพ้นจากวิกฤตปัญหาไปสู่มิติใหม่ของสังคมที่เรียกว่า “การเมืองใหม่” ได้. /
--------------------------------------
“...ถ้ารู้จักการเมืองอย่างถูกต้องตามกฎของธรรมชาติแล้ว จะเห็นว่า การเมืองก็คือ ธรรมะ ระบบธรรมะที่จะช่วยให้มนุษย์อยู่เป็นปกติสุข เป็นสายหนึ่ง แขนงหนึ่งของธรรมะทั้งหลาย เดี๋ยวนี้ธรรมะชนิดนี้หรือการเมืองชนิดนี้มีไม่ได้ในโลก เพราะว่ามนุษย์มันตกเป็นทาสของวัตถุ คือ ความสุขทางเนื้อหนัง...
อย่าไปเข้าใจว่า การเมืองไม่เกี่ยวกับศาสนาหรือการเมืองไม่เกี่ยวกับพุทธบริษัท การเมืองที่ถูกต้องต้องเกี่ยวข้องกับทุกคน...
ถ้ามองอย่างละเอียดแล้ว พูดได้เลยว่า พระพุทธเจ้าก็เป็นจอมโจกของนักการเมือง คือ จะจัดโลกให้มีความสงบสุข...”
พุทธทาสภิกขุ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น