1/06/2555

การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

                     การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม [1]
                       โดย ... โสต สุตานันท์ 
         เกี่ยวกับเรื่องการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและการรักษา      คุณภาพสิ่งแวดล้อมนั้น มีปรัชญาแนวคิดหลายประการ แต่ที่ผู้เขียนเห็นว่าน่าสนใจมีอยู่ ๒ กลุ่มแนวคิด   คือ
         กลุ่มแรก เห็นว่าเหตุผลความจำเป็นที่มนุษย์ต้องอนุรักษ์ทรัพยา- กรธรรมชาติและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมก็เพื่อ ประโยชน์ต่อตัวมนุษย์ เอง ไม่ว่าจะเพื่อคนรุ่นปัจจุบันหรืออนาคต  หากมนุษย์ทำลายทรัพยากรธรรมชาติมากเกินไปจนทำให้ธรรมชาติขาดสมดุล ก็จะทำให้ มนุษย์ได้รับความเดือดร้อน เนื่องจากความเสียหายและภัยพิบัติต่างๆย่อมตามมา  พูดง่าย ๆก็คือ แนวคิดนี้ถือว่า  “มนุษย์เป็นศูนย์กลาง   ของสิ่งทั้งหลายทั้งปวงในโลกนี้
         กลุ่มที่สอง เห็นว่าเหตุผลความจำเป็นที่มนุษย์ต้องอนุรักษ์ทรัพยา- กรธรรมชาติและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมก็เพื่อประโยชน์ในการ รักษาระบบนิเวศน์ให้คงอยู่  แนวคิดนี้ถือว่ามนุษย์เป็นเพียงส่วนหนึ่งของระบบนิเวศน์ทั้งหมดเท่านั้นและมองว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันเสมอ สิ่งมีชีวิตทุกชนิดต้องพึ่งพาอาศัยกัน ดังนั้น หากระบบนิเวศน์ขาดสมดุลมนุษย์ย่อมได้รับความเดือดร้อนไป ด้วย อาจกล่าวได้ว่าแนวคิดนี้ยึดถือ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่ง แวดล้อมเป็นศูนย์กลาง” [2]
         แน่นอนว่า ปรัชญาแนวคิดที่สอดคล้องสัมพันธ์กับแนวทางวิถีแห่งพุทธน่าจะได้แก่แนวคิดของกลุ่มที่สอง เพราะเป็นการมองปัญหาอย่างเป็นองค์รวม กว้างขวาง ลึกซึ้ง คำนึงถึงกฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติอย่างครบถ้วนรอบด้านมากยิ่งกว่า   แม้ท้ายที่สุดแล้ว ทั้งสองแนวคิดจะมีเป้าหมายเดียวกัน คือ  เพื่อประโยชน์สุขของมนุษย์เอง  แต่หากพินิจพิจารณาอย่างละเอียดก็จะพบว่า ทั้งสองแนวคิดได้ก่อให้เกิดผลต่อทิศทางในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติฯที่แตกต่างกันในหลายเรื่อง  เช่น 
         ๑. แนวคิดที่ถือว่ามนุษย์เป็นศูนย์กลางนั้น ทำให้มนุษย์มีความ รู้สึกว่าตนเองมีความสำคัญสูงสุด เป็นผู้พิชิตโลก มีความเก่งกาจ  สามารถเอาชนะธรรมชาติได้เสมอและมนุษย์เท่านั้นที่จะเป็นผู้กำหนดว่าสิ่งใดมีคุณค่า สิ่งใดควรรักษาหรือถูกทำลาย   แนวคิดเช่นนี้ ย่อมทำให้มนุษย์เกิดความอหังการและตั้งอยู่ในความประมาท  แม้บางครั้งอาจดูเหมือนว่ามนุษย์จะสามารถเอาชนะธรรมชาติได้  แต่ก็คงเพียงแค่ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น   ในภาวะการณ์ของความรู้สึกเช่นนี้ โอกาสที่จะทำให้เกิดข้อผิดพลาดย่อมมีอยู่สูงยิ่ง   ในทางตรงข้าม แนวคิดที่เห็นว่า   ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นศูนย์กลางนั้น ย่อมทำให้มนุษย์มีความรู้สึกว่าตนเองเป็นเพียงฟันเฟืองเล็ก ๆตัวหนึ่งของระบบนิเวศน์เท่านั้น  การพัฒนาหรือดำเนินการใด ๆต้องคำนึงอยู่เสมอว่ามีความสอดคล้องสัมพันธ์กับกฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติหรือไม่อย่างไร มนุษย์จะไม่พยายามเอาชนะธรรมชาติด้วยวิธีการที่ฝืนธรรมชาติ  เพราะการทำเช่นนั้นจะทำให้ระบบนิเวศน์เสียสมดุลและเกิดพิษภัยต่อตัวมนุษย์เอง  
         ๒. ทรัพยากรธรรมชาติมีอยู่จำนวนจำกัด ขณะที่ธรรมชาติความต้องการของมนุษย์มีไม่จำกัด  ดุจดั่งคำกล่าวของท่านมหาตมะคานธี ที่ว่า “โลกมีทรัพยากรเพียงพอที่จะเเบ่งปันให้เเก่มนุษย์ทุกคนตามที่จำเป็น เเต่มีไม่เพียงพอที่จะสนองความโลภของคนเเม้เพียงคนเดียว แนวคิดที่ยึดถือมนุษย์เป็นศูนย์กลางจึงสุ่มเสี่ยงอย่างยิ่งที่จะเกิดข้อผิดพลาดในการจัดการทรัพยากรฯ เพราะมีจุดประสงค์เพื่อมุ่งสนองหรือคุ้มครองประโยชน์ของมนุษย์เป็นสำคัญ   การตัดสินใจในบางครั้งมนุษย์อาจมีอคติเข้าข้างตนเองมากเกินไปเนื่องจากมีกิเลสตัณหาบดบังไว้   การดำรงชีวิตจึงเป็นไปในลักษณะที่เรียกว่าอยู่อย่าง ไม่เพียงพอ  ผลก็คือธรรมชาติอาจถูกทำลายมากเกินไปจนขาดสมดุล  ส่วนแนวคิดที่เห็นว่าทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นศูนย์กลางนั้น ย่อมทำให้มนุษย์มองทุกสรรพสิ่งได้อย่างเข้าใจในลักษณะเป็นองค์รวม ให้ความยุติธรรมกับทุกชีวิตบนโลกอย่างเท่าเทียมกัน  ความเป็นอัตตาในตัวมนุษย์จะน้อยลง ทำให้ดำรงชีวิตในลักษณะที่เรียกว่าอยู่อย่าง พอเพียง  ทรัพยากรธรรมชาติย่อมดำรงคงอยู่อย่างสมดุลและยั่งยืน
         ๓.  ผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน บางเรื่องอาจยังไม่มีความชัดเจน เพราะต้องยอมรับว่าศักยภาพในการเข้าถึงซึ่งความจริงแท้แห่งธรรมชาติของมนุษย์มีอยู่จำกัดในระดับหนึ่งเท่านั้น   ผลกระทบบางเรื่องอาจต้องใช้เวลายาวนานจึงจะเห็นผล บางเรื่องอาจส่งผลกระทบโดยอ้อมและยากจะพิสูจน์ได้ ดังนั้นหากมนุษย์ยึดหลักมนุษย์เป็นศูนย์กลาง แนวโน้มที่มนุษย์จะตัดสินใจเข้าข้างตน เองโดยเห็นแก่ประโยชน์เฉพาะหน้าย่อมมีอยู่สูง    แนวคิดตามหลักการเรื่อง “การระวังไว้ก่อน (Precautionary  Principle)”  จึงเป็นไปได้ยากที่จะนำมาปรับใช้  ในทางตรงข้ามหากมนุษย์ยึดถือทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นศูนย์กลางแล้ว มนุษย์ย่อมให้ความสำคัญกับสิ่งมีชีวิตทุกชนิดในระบบนิเวศน์ แม้บางครั้งมนุษย์อาจจะยังไม่เดือดร้อนแต่หากพบว่ามีสิ่งมีชีวิตชนิดใดชนิดหนึ่งได้รับผลกระทบก็เป็นเหตุผลอันเพียงพอแล้วที่ควรจะใช้มาตรการป้องกันไว้ก่อน 
         จากที่กล่าวมา ผู้เขียนมีความเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการบัญญัติกฎหมายหรือกฎมนุษย์ เพื่อเป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติฯ ดังนี้  คือ
         ๑. จากการศึกษาตรวจสอบรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ในส่วนที่เกี่ยวกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เริ่มตั้งแต่สิทธิชุมชน ตามมาตรา  ๖๖-๖๗  หน้าที่ของชนชาวไทย ตาม มาตรา ๗๓  และแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐด้านที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่ง แวดล้อม ตามมาตรา  ๘๕   ผู้เขียนเห็นว่าเป็นหลักกฎหมายที่ดีมากพอสมควร เนื่องจากมีหลักการแนวคิดที่สำคัญคือ มองปัญหาของระบบนิเวศน์อย่างเป็นองค์รวม   คำนึงถึงการจัดการที่สมดุลยั่งยืนและเปิดโอกาสให้บุคคลหรือชุมชนได้มีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง  อย่างไรก็ตาม  หากมองในภาพรวมแล้วดูเหมือนว่า ค่อนข้างจะมีแนวคิดไปในทางกลุ่มที่ยึดถือ มนุษย์เป็นศูนย์กลาง มากกว่า  เพราะรัฐธรรมนูญได้มุ่งเน้นกล่าวถึงบทบาทหน้าที่ สิทธิประโยชน์หรือผล กระทบที่จะพึงมีต่อมนุษย์เป็นสำคัญ   ผู้เขียนจึงเห็นว่าหากเราบัญญัติหลักการเพิ่มเติมในทำนองว่า  ในการจัดการทรัพยากรฯนั้น ต้องเคารพสิทธิในชีวิตและความเป็นอยู่ของสัตว์โลกหรือสิ่งมีชีวิตทุกชนิดด้วยก็คงจะดีไม่น้อย  เพราะทุกชีวิตย่อมมีคุณค่า มีประโยชน์และมีสิทธิที่จะอยู่อาศัยในโลกผืนนี้อย่างสงบสุขเท่าเทียมกันเช่นเดียวกับมนุษย์  ซึ่งย่อมแน่นอนว่าหากเราเคารพสิ่งมีชีวิตอื่นหรือเคารพธรรมชาติ  สิ่งเหล่านั้นย่อมให้ความเคารพและให้ความเป็นธรรมตอบแทนมนุษย์เช่นกัน  ณ วันนี้ คำว่า สิทธิมนุษยชน คงไม่เพียงพอสำหรับความสงบสุขและความอยู่รอดของมนุษย์  เราคงต้องมองไกลไปถึง สิทธิของสรรพชีวิตทั้งมวล ในโลกใบนี้ด้วย
         ๒. ที่กล่าวไว้ข้างต้นว่า ธรรมชาติความต้องการของมนุษย์ไม่มีขีดจำกัดนั้น เป็นเรื่องของความต้องการสิ่งเสพปรนเปรอตนที่เรียกว่า ตัณหา” แต่ในทางพระพุทธศาสนานั้น ท่านเจ้าคุณพระพรหมคุณาภรณ์เคยแสดงธรรมเทศนาไว้ว่า  ยังมีความต้องการอีกประเภทหนึ่งซึ่งมีขอบเขตจำกัด  คือ  ความต้องการคุณภาพชีวิต หรือเรียกว่า ฉันทะ  โดยท่านอธิบายขยายความต่อว่า   ในทางพุทธศาสนาถือว่ามนุษย์เป็นสัตว์ที่ฝึกฝนพัฒนาได้  ซึ่งมีความสัมพันธ์กับหลักความต้องการคุณ ภาพชีวิตของมนุษย์ กล่าวคือ การที่มนุษย์ต้องการคุณภาพชีวิตนั้นเป็น การแสดงถึงภาวะที่มนุษย์ต้องการพัฒนาตนเองหรือพัฒนาศักยภาพของตนเองขึ้นไป  เพราะฉะนั้นสาระอย่างหนึ่งของการพัฒนามนุษย์ก็คือ การที่เราจะต้องพยายามหันเหหรือปรับเปลี่ยนความต้องการจากความต้องการสิ่งเสพปรนเปรอตนมาเป็นความต้องการคุณภาพชีวิต    ทั้งนี้  ท่านเจ้าคุณได้ยกตัวอย่างเปรียบเทียบกับการกินไว้ คือ มนุษย์เรานั้นจะกินอาหารโดยมีจุดประสงค์ความต้องการทั้งสองอย่างทับซ้อนกันอยู่  คือ กินเพื่อสนองตัณหา (อร่อย  โก้ แสดงฐานะ ฯลฯ) ซึ่งมีขอบเขตไม่จำกัดและกินเพื่อคุณภาพชีวิต (หล่อเลี้ยงร่างกายให้แข็งแรง มีสุขภาพดี) ซึ่งมีขอบเขตจำกัด [3]   
         จากหลักการแนวคิดดังกล่าว โจทย์ก็คือว่าเราจะทำอย่างไรให้มนุษย์เสพย์หรือใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติโดยคำนึงถึงความต้องการเพื่อคุณภาพชีวิตมากยิ่งกว่าเพื่อสนองตัณหา ถึงตรงนี้เชื่อว่าหลายท่านคงคิดถึงคำว่า เศรษฐกิจพอเพียง และแน่นอนว่าผู้ เขียนเองก็เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งว่า  ระบบเศรษฐกิจพอเพียงน่าจะมีความ สัมพันธ์สอดคล้องเป็นอย่างดีกับคำว่า  การพัฒนาคุณภาพชีวิต” ดัง นั้น บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา  ๗๘ (๑) และมาตรา  ๘๓  ที่กำหนดให้รัฐส่งเสริมและสนับสนุนปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง จึงน่าจะเป็นคำตอบที่ดีสำหรับโจทย์ดังกล่าวได้   แต่อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าเสียดายว่าในมาตราถัดไป คือ มาตรา  ๘๔ (๑)  รัฐธรรมนูญกลับบัญ- ญัติไว้ว่า  รัฐต้องสนับสนุนระบบเศรษฐกิจแบบเสรีโดยอาศัยกลไกตลาด  ซึ่งผู้เขียนเห็นว่าเป็นแนวคิดที่ขัดแย้งสวนทางกับหลักการพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างสิ้นเชิง  เพราะโดยลักษณะสภาพของระบบเศรษฐกิจแบบเสรีโดยอาศัยกลไกตลาด ย่อมมีการพยายามแข่งขัน ส่งเสริมสนับสนุนให้มนุษย์เสพย์บริโภคเพื่อสนองตัณหาอย่างไม่มีขีดจำกัดอยู่ในตัว  ก็ขอฝากเป็นแง่คิดต่อท่านผู้อ่านว่าแล้วเราจะแก้ไขปรับปรุงกฎหมายกันอย่างไรให้มีความเหมาะสมลงตัว สอดคล้องสัมพันธ์เป็นอย่างดีกับทั้งสังคมไทยและสังคมโลก
         ๓. หลักการแนวคิดเรื่องหนึ่งในทางพระพุทธศาสนาที่เหมือนกับปรัชญาแนวคิดของตะวันตก คือ มองว่าธรรมชาติของมนุษย์เป็นสัตว์สังคม   มนุษย์ต้องอาศัยอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัว เป็นกลุ่มก้อน จึงจะอยู่รอดปลอดภัยและสงบสุข  เพราะมนุษย์ต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันอีกทั้งการพัฒนามนุษย์ก็ต้องอาศัยมนุษย์ด้วยกัน และยังเห็นว่าสังคมที่ดีมีระบบระเบียบเท่านั้นที่จะสอดคล้องกับธรรมชาติของมนุษย์  ในการที่จะเอื้อให้มนุษย์สามารถใช้สติปัญญาหาเหตุผลเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีงามยิ่ง ๆขึ้นไปได้  ดังนั้น ผู้เขียนจึงเห็นว่าการที่รัฐธรรมนูญบัญญัติให้บุคคลและชุมชนได้มีส่วนร่วมในการจัดการ บำรุง รักษา หรือใช้ประโยชน์ทรัพยากรฯอย่างกว้างขวาง  จึงน่าจะสอดคล้องกับธรรมชาติของมนุษย์เป็นอย่างดี  เพราะเมื่ออยู่ร่วมกันก็ต้องเคารพให้เกียรติ์ซึ่งกันและกัน ร่วมกันคิดร่วมกันแก้ไขปัญหาและสร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม   แต่อย่างไรก็ตาม การที่จะนำหลักการแนวคิดดังกล่าวไปปรับใช้ในทางปฏิบัติที่เป็นจริงนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างแน่นอน พระราชบัญญัติป่าชุมชนฯเป็นตัวอย่างปัญหาเรื่องหนึ่งซึ่งถกเถียงกันมาอย่างยาวนานและจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่ได้ข้อยุติ  ก็ขอฝากท่านผู้อ่านช่วยกันคิดต่ออีกเรื่องหนึ่งก็แล้วกันในฐานะที่เราเป็นสัตว์สังคมครอบครัวเดียวกัน./


[1] ลงพิมพ์เผยแพร่ในหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน  ฉบับลงวันที่    กรกฎาคม   ๒๕๕๒.
[2] อำนาจ วงศ์บัณฑิต, กฎหมายสิ่งแวดล้อม , พิมพ์ครั้งที่ ๒ (กรุงเทพฯ : วิญญูชน , ๒๕๕๐ ) , หน้า  ๓๙ ๔๓. 
[3] พระพรหมคุณาภรณ์, สลายความขัดแย้ง:นิติศาสตร์-รัฐศาสตร์-เศรษฐศาสตร์แนวพุทธ,  [Online], Available : http://watnyanaves.net/th/book_detail/438, หน้า ๒๓๘ .
                                                         ----------------------------------------
                         “...พุทธศาสนามองเห็นว่า ทุกสิ่งทุกอย่างดำรงอยู่และดำเนินไปในระบบสัมพันธ์ของธรรมชาติ 
         แม้แต่เรื่องราวด้านภาวะทางจิตใจที่เป็นอัตวิสัย ความคิดคำนึงและจินตนาการของคนก็ดี  เรื่องราวและกิจกรรมทางสังคมของมนุษย์ก็ดี ที่ปัจจุบันถือว่าไม่ใช่เรื่องของธรรมชาติ ไม่เป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์และแยกออกมาศึกษาต่างหาก เป็นมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์นั้น พุทธศาสนาก็มองเห็นว่า เป็นเรื่องในขอบเขตของธรรมชาตินั่นเอง เพียงแต่มีความซับซ้อนในอีกระดับหนึ่ง
       ข้อสำคัญก็คือ เรื่องของคนและสังคมนั้น ในที่สุดเราจะต้องรู้เข้าใจมองเห็นความสัมพันธ์เป็นเหตุปัจจัยต่อกัน ที่โยงเป็นระบบอันเดียวกับธรรมชาติส่วนอื่นทั้งหมด
       ถ้ารู้เข้าใจมองเห็นไม่ถึงขึ้นนี้ ความรู้และวิทยาการทั้งหลายของมนุษย์ นอกจากจะเป็นศาสตร์ที่แยกส่วนจากกันแล้ว แต่ละอย่างก็จะบกพร่อง ไม่สมบูรณ์ เช่นอย่างวิทยาศาสตร์ที่เป็นการศึกษาธรรมชาติด้านวัตถุเพียงอย่างเดียว โดยพรากจากองค์ประกอบด้านอื่นที่อิงสัมพันธ์กับมันอยู่ ทำให้แม้แต่ความเข้าใจทางวัตถุเองก็พลอยไม่เพียงพอและไม่ชัดเจนจนบัดนี้...

                                                       พระพรหมคุณาภรณ์

1 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ16/9/56 19:08

    นับวันความมืดมาบดบังความสว่าง จนมองไม่เห็นแล้วว่าระบบนิเวศเป็นสิ่งจำเป็นต่อชีวิตและโลกขนาดไหน ขนาดเราๆท่านๆศึกษาคำสอนทางด้านพระพุทธศาสนารู้ตามความเป็นจริง(ระบบคิด)ยังถูกเจ้าตัวตัณหาร้ายพัดพาแล้วผู้ไม่ศึกษาเลยจะเหลืออะไร ...คิดแล้วก้ช่วยกันพยุงไปก่อนแล้วกัน มีโอกาศก็ศึกษาแล้วนำมาปฎิบัติแล้วจะรู้ว่าเขามีคุณต่อมนุษย์แถมเราเองก็จะเป็นผู้ไม่เบียดเบียนด้วย

    ตอบลบ