การบรรยายฟ้องข้อหาความผิดฐานหลอกลวงหรือฉ้อโกงคนหางาน[1]
โดย ... โสต สุตานันท์
สืบเนื่องจากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๖๐๑๘ / ๒๕๓๓ (ประชุมใหญ่) ได้วินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับการกระทำความผิดฐานจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พรบ.จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๑๑ มาตรา ๗ , ๒๗ (ซึ่งปัจจุปันคือ พรบ.จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๓๐ , ๘๒ ) และ การกระทำความผิดฐานฉ้อโกง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๓ ไว้ดังนี้คือ
คำฟ้องของโจทก์แม้จะได้บรรยายไว้ในตอนแรกว่า จำเลยทั้งสามกับพวกร่วมกันจัดหางานโดยเรียกรับค่าบริการโดยไม่ได้รับอนุญาตจัดหางานจากนายทะเบียนตามกฎหมายก็ตาม แต่ในคำบรรยายฟ้องของโจทก์ในตอนต่อมากลับกล่าวว่า “ จำเลยทั้งสามกับพวกไม่ได้มีเจตนาและไม่มีความสามารถที่จะติดต่อผู้ใดไปทำงาน……” เป็นการยืนยันข้อเท็จจริงว่า จำเลยทั้งสามไม่มีเจตนาจัดหางานอันถือว่าจำเลยทั้งสามไม่มีเจตนากระทำความผิดสำหรับกระทงนี้ กรณีจึงไม่อาจลงโทษจำเลยทั้งสามในความผิดฐานนี้ได้
จากคำวินิจฉัยตามคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าว จะเห็นว่า ศาลฎีกาได้พิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหาความผิดฐานจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยการตัดฟ้องโจทก์ไปเลยทีเดียว ไม่ได้วินิจฉัยถึงข้อเท็จจริงตามทางนำสืบของคู่ความเลย โดยศาลฎีกาเห็นว่า การที่โจทก์บรรยายฟ้องโดยมีข้อความแสดงให้เห็นว่า จำเลยไม่มีเจตนาจัดหางานให้แก่ผู้เสียหายนั้น เป็นการบรรยายฟ้องที่ขาดองค์ประกอบความผิด เพราะบุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๙ ดังนั้น เมื่อจำเลยไม่มีเจตนาจัดหางานให้ผู้เสียหายเสียแล้ว จำเลยย่อมไม่อาจมีความผิดฐานจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตได้ ซึ่งต่อมาก็มีคำพิพากษาของศาลฎีกาอีกหลายคดีที่วินิจฉัยในแนวเดียวกัน เช่น คำพิพากษาศาลฎีกา ที่ ๘๗๙ / ๒๕๓๔ , ๖๑๙๖ / ๒๕๓๔ , ๕๓๘๕ / ๒๕๓๙ , ๕๒๙๒ / ๒๕๔๐ , ๑๙๒๕ / ๒๕๔๑ , ๑๙๘๘ / ๒๕๔๑ , ๔๗๔ / ๒๕๔๒ และ ๕๔๖๖ / ๒๕๔๒ อย่างไรก็ตาม จากการปฏิบัติงานของผู้เขียนพบว่า จนถึงขณะนี้ ในการบรรยายฟ้องของพนักงานอัยการส่วนใหญ่ก็ยังคงบรรยายฟ้องในแนวเดิมเช่นกัน ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขแต่อย่างใด อันเป็นเหตุให้ผู้เขียนเกิดความสงสัย จึงศึกษาแนวคำวินิจฉัยตามคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวว่า ชอบด้วยเหตุและผลหรือไม่ อย่างไร
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้นและง่ายต่อการทำความเข้าใจ ผู้เขียนขอหยิบยกรายละเอียดเหตุผลคำวินิจฉัยของศาลฎีกาที่ตัดสินตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๖๐๑๘ / ๒๕๓๓ (ประชุมใหญ่) ดังกล่าว มาเป็นตัวอย่างในการศึกษาอีกซัก ๑ คดี คือ คำพิพากษาศาลฎีกา ที่ ๘๗๙ / ๒๕๓๔ ซึ่งศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “………โจทก์บรรยายฟ้องในความผิดฐานฉ้อโกงว่า จำเลยหลอกลวงผู้เสียหายว่าจำเลยสามารถจัดหาคนไปทำงานในประเทศสิงคโปร์ได้ มีงานให้ทำเป็นจำนวนมาก รายได้และสวัสดิการดีและต้องการคนงานไทยเป็นจำนวนมาก หากประสงค์จะไปทำงานจะต้องเสียค่าบริการแก่จำเลยคนละ ๑๕,๐๐๐ บาท ซึ่งเป็นความเท็จเพราะความจริงแล้วจำเลยไม่สามารถจัดหางานให้แก่คนงานในต่างประเทศได้ โดยมีเจตนาฉ้อโกงทรัพย์ของผู้เสียหายไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อว่าเป็นความจริง จึงมอบเงินให้จำเลยไปแล้วจำเลยนำเงินไปเป็นประโยชน์ส่วนตนและไม่สามารถจัดหางานให้ผู้เสียหายทำได้นั้น แสดงว่าจำเลยไม่ประสงค์จะจัดหางานให้ผู้เสียหาย จำเลยเพียงแต่อ้างการประกอบธุรกิจจัดหางานเป็นข้อหลอกลวงเพื่อให้ได้เงินค่าบริการจากผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ดังกล่าวจึงไม่เป็นความผิดฐานจัดหางานโดยมิได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ ………”
จากคำพิพากษาศาลฎีกาคดีนี้ จะเห็นว่า แม้การบรรยายฟ้องของโจทก์จะไม่มีข้อความที่ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า “........ จำเลยไม่มีเจตนาหางานให้ผู้เสียหาย...........” โดยเพียงแต่บรรยายฟ้องว่า “……. ความจริงแล้วจำเลยไม่สามารถจัดหางานให้แก่คนงานในต่างประเทศได้ …..” ศาลฎีกาก็แปลความหมายฟ้องโจทก์ว่า จำเลยไม่มีเจตนาหางานให้ผู้เสียหาย แล้ววินิจฉัยเหมือนเช่นคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๐๖๘ / ๒๕๓๓ (ประชุมใหญ่) คือ เห็นว่า การกระทำของจำเลยตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ไม่เป็นความผิดฐานจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาต
จากแนวคำวินิจฉัยของศาลฎีกาดังกล่าว มีข้อน่าสังเกตคือ สมมุติว่าคดีหนึ่ง จากทางนำสืบของโจทก์ ข้อเท็จจริงฟังยุติว่า จำเลยมีเจตนาที่จะหางานให้ผู้เสียหายทำจริง ๆ ไม่ได้หลอกลวงหรือฉ้อโกงแต่ไม่สามารถส่งผู้เสียหายไปทำงานในต่างประเทศได้ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตามและปรากฏว่าจำเลยไม่ได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียนจัดหางานกลาง ศาลก็คงจะต้องยกฟ้องจำเลยทั้งหมด ทั้งข้อหาจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตและข้อหาหลอกลวงหรือฉ้อโกง ทั้ง ๆที่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยกระทำความผิดฐานจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตตามที่โจทก์บรรยายฟ้องไว้และโจทก์ก็นำสืบได้ ซึ่งไม่น่าจะถูกต้องและเป็นธรรม
ผู้เขียนเห็นว่า การที่โจทก์บรรยายฟ้องเหมือนเช่นคดีดังกล่าว น่าจะแปลความประสงค์ของโจทก์ว่า หากพิจารณาคดีเสร็จสิ้นแล้ว ศาลฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยมีเจตนาจัดหางานให้ผู้เสียหายจริง โจทก์ก็ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๓๐ , ๘๒ แต่หากศาลฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยไม่มีเจตนาที่จะหางานให้กับผู้เสียหายจริง จำเลยเพียงแต่หลอกลวงโดยอ้างว่าสามารถหางานให้ผู้เสียหายทำได้ทั้ง ๆที่ไม่สามารถดำเนินการได้ โดยมีเจตนาเพื่อให้ได้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากผู้เสียหายเท่านั้น โจทก์ก็ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๑ หรือ ๓๔๓ และฐานหลอกลวงผู้เสียหายตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๙๑ ตรี ทั้งนี้ ในทำนองเดียวกันกับการบรรยายฟ้องในข้อหาฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร
ผู้เขียนเห็นว่า หากศาลแปลความหมายฟ้องโจทก์เหมือนเช่นแนวคำพิพากษาฎีกาดังกล่าว ก็จะต้องยกฟ้องโจทก์ทั้งหมดโดยไม่ต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงตามทางนำสืบของคู่ความอีก เพราะหากแปลความหมายเช่นนั้น ก็ต้องแปลความในทางกลับกันว่า “ การที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยจัดหางานให้แก่คนหางานโดยไม่ได้รับอนุญาต ย่อมเป็นการยืนยันข้อเท็จจริงอยู่ในตัวว่า จำเลยมีเจตนาหางานให้ผู้เสียหายจริง ไม่ได้หลอกลวงหรือฉ้อโกงผู้เสียหายว่า สามารถหางานให้ผู้เสียหายได้ทั้ง ๆที่ตัวเองไม่มีเจตนาหางานให้ การกระทำของจำเลยตามฟ้องจึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๑ หรือ ๓๔๓ และพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๙๑ ตรี”
อาจมีคนโต้แย้งว่า การกระทำความผิดฐานจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตกับการกระทำความผิดฐานหลอกลวงหรือฉ้อโกง จำเลยอาจกระทำความผิดทั้งสองฐานในขณะเดียวกันได้ ซึ่งต่างจากการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์และรับของโจร ไม่มีทางที่จำเลยจะกระทำความผิดทั้งสองฐานพร้อมกันได้เลย แต่ผู้เขียนก็เห็นว่า การที่จำเลยจะกระทำความผิดฐานจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตและฐานหลอกลวงหรือฉ้อโกงในขณะเดียวกันได้นั้น การหลอกลวงหรือฉ้อโกง ต้องเป็นการแสดงข้อความอันเป็นเท็จในเรื่องอื่นที่ไม่ใช่หลอกลวงว่า สามารถจัดหางานให้ได้ทั้ง ๆที่ตนเองไม่มีเจตนาหางานให้ กล่าวคือ จำเลยมีเจตนาจะหางานให้ผู้เสียหายทำจริง ๆแต่ หลอกลวงในเรื่องข้อมูลต่าง ๆเกี่ยวกับงานที่ทำ เช่น หลอกว่าสามารถจัดหางานที่มีอัตราค่าจ้างสูงให้ได้ ทั้ง ๆที่งานที่หาให้มีอัตราค่าจ้างที่ต่ำ หรือหลอกลวงว่างานที่ทำมีความปลอดภัยไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ แต่ความจริงงานที่หาให้เป็นอันตรายอย่างมาก ซึ่งหากผู้เสียหายรู้ก่อนก็จะไม่ตกลงทำสัญญาด้วย เป็นต้น
กล่าวโดยสรุปก็คือ จำเลยจะกระทำความผิดฐานจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตและฐานหลอกลวงหรือฉ้อโกงว่าสามารถจัดหางานให้ได้ทั้ง ๆที่ความจริงไม่มีเจตนาจะหางานให้ในขณะเดียวกันไม่ได้โดยเด็ดขาด การที่โจทก์บรรยายฟ้องตอนแรกว่าจำเลยจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตและบรรยายฟ้องตอนหลังว่า จำเลยมีเพียงเจตนาหลอกลวงหรือฉ้อโกงเอาทรัพย์สินผู้เสียหาย ไม่ได้มีเจตนาหางานจริง ๆ ซึ่งขัดแย้งกันในตัวอย่างชัดเจนนั้น กรณีน่าจะเป็นเพราะเหตุว่า โจทก์มีพยานหลักฐานที่โจทก์เชื่อว่า จำเลยไม่ได้รับอนุญาตให้จัดหางานแต่โจทก์ไม่แน่ใจว่าจำเลยมีเจตนาหางานให้ผู้เสียหายหรือไม่ หากโจทก์มีพยานหลักฐานที่โจทก์เชื่อว่า จำเลยมีเจตนาจัดหางานแต่หลอกลวงหรือฉ้อโกงผู้เสียหายด้วยเหตุผลอื่นเหมือนเช่นตัวอย่างดังกล่าว โจทก์ย่อมไม่บรรยายฟ้องตอนหลังในทำนองว่า จำเลยไม่ได้มีเจตนาหางาน
เหตุผลน่าจะเป็นเพราะการไม่ได้รับอนุญาตให้จัดหางานเป็นเรื่องที่หาพยานหลักฐานมาพิสูจน์ได้ง่ายแต่การที่จะพิสูจน์ว่าจำเลยมีเจตนาหางานหรือไม่เป็นเรื่องที่พิสูจน์ค่อนข้างยาก โจทก์จึงบรรยายฟ้องเผื่อไว้ รอดูว่าจำเลยจะให้การหรือนำสืบต่อสู้คดีอย่างไรและศาลจะฟังข้อเท็จจริงว่าอย่างไร หากศาลฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยไม่ได้รับอนุญาตให้จัดหางาน แต่จำเลยมีเจตนาหางานให้ผู้เสียหายจริง ไม่ได้หลอกลวงหรือฉ้อโกง โจทก์ก็ประสงค์ให้ศาลโทษจำเลยฐานจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาต ในทางกลับกันหากศาลฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยมีเจตนาหลอกลวงหรือฉ้อโกงผู้เสียหาย ไม่ได้มีเจตนาหางานจริง ๆมาแต่แรก โจทก์ก็ประสงค์ให้ศาลลงโทษฐานหลอกลวงหรือฉ้อโกง ผู้เขียนจึงมีความเห็นว่า การที่ศาลจะยกฟ้องโจทก์ในข้อหาจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยการตัดฟ้องโจทก์เสียแต่แรกนั้น ไม่น่าจะชอบด้วยเหตุและผล ศาลน่าจะวินิจฉัยโดยรอฟังพยานหลักฐานที่โจทก์จำเลยนำสืบในชั้นพิจารณาให้เสร็จสิ้นก่อน
เกี่ยวกับเรื่องนี้ มีข้อน่าสังเกตอีกว่า หากโจทก์บรรยายฟ้องเช่นเดียวกับคดีดังกล่าว แทนที่จำเลยจะให้การปฏิเสธ แต่ให้การรับสารภาพตามฟ้อง จะลงโทษจำเลยตามฟ้องได้หรือไม่ กรณีเช่นนี้ มีความเห็นของอาจารย์ปริญญา ดีผดุง ซึ่งได้เขียนหมายเหตุท้ายคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๖๐๑๘ / ๒๕๓๓ (ประชุมใหญ่) ว่า ศาลย่อมไม่อาจลงโทษจำเลยฐานจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตได้ คงลงโทษได้เฉพาะความผิดฐานฉ้อโกงเท่านั้น และผู้หมายเหตุยังมีความเห็นต่อไปอีกว่า แม้จำเลยจะให้การปฏิเสธ หากศาลจะพิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหาจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตเสียตั้งแต่ในชั้นรับคำฟ้องก็น่าจะกระทำได้
ด้วยความเคารพ ผู้เขียนเห็นว่า ถ้าเป็นชั้นนั้น หากจำเลยให้การรับสารภาพข้อหาจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ปฏิเสธข้อหาหลอกลวงหรือฉ้อโกงโดยโจทก์ไม่ติดใจสืบพยาน หรือจำเลยปฏิเสธทั้งสองข้อหา แล้วศาลฟังข้อเท็จจริงจากทางนำสืบของโจทก์จำเลยว่า จำเลยไม่ได้รับอนุญาตจัดหางานแต่มีเจตนาจัดหางานให้ผู้เสียหายจริงไม่ได้หลอกลวงหรือฉ้อโกง ก็คงต้องยกฟ้องโจทก์ปล่อยตัวจำเลยไป ผลคดีออกมาเช่นนี้ ผู้เขียนเห็นว่า เป็นเรื่องที่ค่อนข้างแปลกและคงยากที่จะอธิบายให้คู่ความหรือประชาชนเข้าใจได้ แต่หากศาลแปลความหมายฟ้องโจท์เหมือนเช่นที่ผู้เขียนให้ความเห็นดังกล่าวข้างต้น กรณีเช่นนี้ก็จะไม่มีปัญหา โดยถ้าจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลต้องสอบถามให้ได้ความชัดเจนก่อนว่า จะให้การรับสารภาพฐานใด เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพฐานใดก็พิพากษาลงโทษจำเลยฐานนั้น และถ้าจำเลยให้การปฏิเสธทั้งสองฐาน ก็ต้องวินิจฉัยไปตามข้อเท็จจริงที่โจทก์จำเลยนำสืบ พยานหลักฐานฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดฐานใด ก็พิพากษาลงโทษจำเลยฐานนั้นไป อย่างนี้น่าจะชอบด้วยเหตุและผลมากกว่า
มีปัญหาอีกกรณีหนึ่งที่น่าสนใจ คือ กรณีโจทก์ฟ้องจำเลยข้อหาจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตและข้อหาฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๑ แต่ต่อมาผู้เสียหายได้ขอถอนคำร้องทุกข์ความผิดฐานฉ้อโกงซึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้ ทำให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องในความผิดฐานฉ้อโกงระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๓๙(๒) กรณีเช่นนี้ หากโจทก์บรรยายฟ้องและศาลวินิจฉัยเหมือนคำพิพากษาศาลฎีกา ที่ ๖๐๑๘/๒๕๓๓ (ประชุมใหญ่) หรือคำพิพากษาศาลฎีกา ๘๗๙/๒๕๓๔ ก็คงต้องยกฟ้องโจทก์ในข้อหาจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาต และจำหน่ายคดีฐานฉ้อโกงไป ไม่สามารถเอาผิดกับจำเลยได้
มีคำพิพากษาศาลฎีกาที่น่าสนใจเรื่องหนึ่ง คือ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๘๔/๒๕๓๘ ซึ่งคดีนี้ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ ........ ตามฟ้องโจทก์ทั้งสองสำนวนบรรยายถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำความผิดทั้งสองฐานแยกกันมา โดยฐานฉ้อโกงโจทก์บรรยายในข้อ ก. ว่า จำเลยทั้งสองกับพวกได้บังอาจร่วมกันหลอกลวงผู้เสียหายทั้งสี่ว่า จำเลยทั้งสองกับพวกสามารถจัดส่งผู้เสียหายทั้งสี่ไปทำงานยังประเทศสิงคโปร์ได้อันเป็นเท็จ ความจริงแล้วจำเลยทั้งสองกับพวกไม่สามารถจัดส่งผู้เสียหายทั้งสี่ไปทำงานที่ประเทศสิงคโปร์ได้ จำเลยทั้งสองกับพวกแสดงข้อความอันเป็นเท็จดังกล่าวเพื่อหลอกลวงผู้เสียหายทั้งสี่ให้มอบเงินค่าติดต่อจัดหางาน ค่าเดินทางและค่าใช้จ่ายอื่น ๆแก่จำเลยทั้งสองกับพวกและโดยการหลอกลวงของจำเลยทั้งสองกับพวกเป็นเหตุให้ผู้เสียหายทั้งสี่หลงเชื่อว่าจำเลยทั้งสองกับพวกสามารถจัดหางานให้ผู้เสียหายทั้งสี่ทำในประเทศสิงคโปร์ได้ ผู้เสียหายทั้งสี่จึงมอบเงินค่าบริการและค่าใช้จ่ายจำนวนคนละ ๒๐,๐๐๐ บาท ให้แก่จำเลยทั้งสองกับพวกไป และฐานจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตโจทก์บรรยายฟ้องในข้อ ข. ว่า จำเลยทั้งสองกับพวกบังอาจร่วมกันประกอบธุรกิจจัดหางานให้แก่คนงานเพื่อไปทำงานต่างประเทศและจำเลยทั้งสองกับพวกได้ร่วมกันจัดหางานให้แก่ผู้เสียหายทั้งสี่ ซึ่งเป็นคนหางานเพื่อไปทำงานที่ประเทศสิงคโปร์ โดยจำเลยทั้งสองกับพวกเรียกและรับค่าบริการเป็นเงินตอบแทนจากผู้เสียหายทั้งสี่คนละ ๒๐,๐๐๐ บาท โดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนจัดหางานกลาง เห็นว่า ตามคำบรรยายฟ้องโจทก์ข้อ ก. แม้จะมีข้อความว่าจำเลยทั้งสองกับพวกไม่สามารถจัดให้ผู้เสียหายทั้งสี่ได้ทำงานในต่างประเทศตามที่จำเลยทั้งสองกับพวกกล่าวอ้าง แต่ก็ไม่มีข้อความใดที่แสดงให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองกับพวกไม่มีเจตนาประกอบธุรกิจจัดหางานตามที่บรรยายไว้ในข้อ ข. การกระทำของจำเลยทั้งสองตามฟ้องจึงเป็นความผิดฐานจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาต.............” ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับคำพิพากษาศาลฎีกา ที่ ๘๗๙ / ๒๕๓๔ ก็จะเห็นว่า การบรรยายฟ้องของโจทก์ทั้งสองคดีมีนัยความหมายแทบจะไม่แตกต่างกันเลย แต่คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๘๗๙ / ๒๕๓๔ กลับวินิจฉัยว่า “ .....แสดงว่าจำเลยไม่ประสงค์จะจัดหางานให้ผู้เสียหาย..........” ขณะที่คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๘๔/๒๕๓๘ วินิจฉัยว่า “.....แต่ก็ไม่มีข้อความใดที่แสดงให้เห็นว่าจำเลยกับพวกไม่มีเจตนาประกอบธุรกิจจัดหางาน.......”
เหตุผลที่คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๘๔/๒๕๓๘ วินิจฉัยเช่นนั้น ผู้เขียนเข้าใจว่า น่าจะเป็นเพราะ คดีดังกล่าวจำเลยได้ถอนคำร้องทุกข์ความผิดฐานฉ้อโกง ซึ่งมีผลทำให้สิทธินำคดีอาญาฐานดังกล่าวมาฟ้องระงับไป ดังนั้น หากศาลแปลฟ้องโจทก์เหมือนเช่นคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๘๗๙ / ๒๕๔๒ ก็จะต้องยกฟ้องโจทก์ในข้อหาจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่สามารถลงโทษจำเลยได้ ทั้ง ๆที่ข้อเท็จจริงปรากฏชัดเจนว่าจำเลยกระทำความผิด ศาลฎีกาคงเห็นว่า หากยกฟ้องปล่อยจำเลยไปโดยไม่มีความผิดอะไรเลยก็ดูกระไรอยู่
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน ผู้เขียนขอให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกา ที่ ๒๘๔/๒๕๓๘ ดังนี้คือ คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลย ฐานจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๓๐ วรรคหนึ่ง และฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๑ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้โดยให้ลงโทษเฉพาะความผิดฐานฉ้อโกงส่วนความผิดฐานจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตให้ยกฟ้อง (เข้าใจว่าศาลอุทธรณ์คงจะตัดสินโดยมีเหตุผลตามแนวคำวินิจฉัยคำพิพากษาศาลฎีกา ที่ ๖๐๑๘/๒๕๓๓ (ประชุมใหญ่) และคำพิพากษาศาลฎีกาอื่น ๆดังกล่าวข้างต้น)
โจทก์และจำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นรับฎีกาโจทก์แต่มีคำสั่งไม่รับฎีกาจำเลยเนื่องจากเห็นว่าต้องห้ามฎีกาปัญหาข้อเท็จจริง จำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกา ระหว่างอุทธรณ์คำสั่งโจทก์แถลงว่า ผู้เสียหายขอถอนคำร้องทุกข์ความผิดฐานฉ้อโกง เนื่องจากจำเลยใช้เงินคืนให้แล้ว ศาลฎีกาจึงให้จำหน่ายคดีสำหรับความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๑ และพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ลงโทษจำเลยฐานจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๓๐ วรรคหนึ่ง โดยให้เหตุผลว่าฟ้องโจทก์ไม่มีข้อความใดที่แสดงให้เห็นว่า จำเลยไม่มีเจตนาจัดหางานให้ผู้เสียหาย ดังกล่าวข้างต้น ก็ต้องถือว่าโชคดีที่คดีดังกล่าวโจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องโดยระบุไว้อย่างชัดเจนว่า “ จำเลยไม่ได้มีเจตนาจัดหางานให้ผู้เสียหาย “ เหมือนเช่นคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๖๐๑๘/๒๕๓๓ (ประชุมใหญ่) มิฉะนั้นศาลก็คงต้องยกฟ้องโจทก์ปล่อยคนผิดให้ลอยนวลไป
แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้น ในปีต่อมา ก็มีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๕๓๘๕ / ๒๕๓๙ วินิจฉัยเช่นเดียวกับคำพิพากษาศาลฎีกา ที่ ๘๗๙ / ๒๕๓๔ อีก ทั้ง ๆที่คดีดังกล่าวโจทก์ก็บรรยายฟ้องในทำนองเดียวกัน และเนื่องจากคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๕๓๘๕ / ๒๕๓๙ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยในข้อหาจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตตามที่จำเลยให้การรับสารภาพ ส่วนข้อหาฉ้อโกงได้จำหน่ายคดีไป เพราะผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์ คดีจึงมีประเด็นขึ้นสู่ศาลฎีกาเฉพาะข้อหาจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่มีประเด็นเรื่องฉ้อโกง เมื่อศาลฎีกายกฟ้องข้อหาจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตไป จึงไม่อาจเอาผิดจำเลยได้
อนึ่ง โดยที่ปัจจุบันได้มีการแก้ไขเพิ่มเติม พระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๙๑ ตรี ซึ่งบัญญัติไว้ว่า “ ผู้ใดหลอกลวงผู้อื่นว่าสามารถหางานหรือสามารถส่งไปฝึกงานในต่างประเทศได้และโดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งเงินหรือทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากผู้ถูกหลอกลวง ต้องระวางโทษ.........” อันเป็นความผิดที่ไม่สามารถยอมความได้ และจากแนวคำพิพากษาศาลฎีกาถือว่าเป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวกับความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๑ ดังนั้น ตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่ดังกล่าว แม้ผู้เสียหายจะถอนคำร้องทุกข์ในความผิดฐานฉ้อโกงไปก็สามารถลงโทษจำเลยตามมาตรา ๙๑ ตรีได้ หากโจทก์บรรยายฟ้องขอให้ลงโทษมาด้วย (คำพิพากษาศาลฎีกา ที่ ๑๙๒๕ / ๒๕๔๑ )
เป็นเรื่องที่น่าคิดว่า หากโจทก์ไม่บรรยายฟ้องเหมือนเช่นคดีต่าง ๆตามคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวข้างต้น แล้วจะให้โจทก์บรรยายฟ้องอย่างไร เพราะถ้าโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยกระความทำผิดฐานจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตข้อหาเดียว ไม่ได้ฟ้องจำเลยว่ากระทำความผิดฐานหลอกลวงหรือฉ้อโกงด้วย หากศาลฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยหลอกลวงหรือฉ้อโกงผู้เสียหายโดยไม่ได้เจตนาหางานให้ผู้เสียหายทำแต่แรก ศาลก็ต้องยกฟ้องโจทก์ ( ตัวอย่างเช่น คำพิพากษาศาลฎีกา ที่ ๓๗๔๖ / ๒๕๔๑ และ ๓๓๐๙ / ๒๕๔๓ ) ในทางกลับกันถ้าโจทก์ฟ้องจำเลยเฉพาะความผิดฐานหลอกลวงหรือฉ้อโกงโดยบรรยายฟ้องว่าจำเลยมีเจตนาแต่แรกที่จะไม่หางานให้ผู้เสียหายแต่เพียงข้อหาเดียว หากศาลฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยมีเจตนาหางานให้ผู้เสียหายจริง ไม่ได้หลอกลวงหรือฉ้อโกงตามฟ้อง ศาลก็ต้องยกฟ้องเช่นกัน หรือจะให้โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกระทำความผิดฐานจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตและกระทำความผิดฐานหลอกลวงหรือฉ้อโกง ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จอย่างอื่นที่ไม่ใช่หลอกว่า หางานทำให้ได้ทั้ง ๆที่ไม่มีเจตนาจะหางานให้ทำ โดยตัดข้อความว่า “ความจริงจำเลยไม่มีเจตนาจะจัดหางานให้ผู้เสียหาย” ออก โจทก์ก็คงไม่แน่ใจในพยานหลักฐานที่โจทก์มีอยู่ เพราะคดีส่วนใหญ่ผู้เสียหายที่ถูกหลอกยังไม่ได้ไปทำงานต่างประเทศเลย จึงเป็นเรื่องยากที่จะพิสูจน์ว่า ข้อมูลเกี่ยวกับงานที่จำเลยบอกผู้เสียหายเป็นความจริงหรือไม่ ที่สำคัญหากโจทก์บรรยายฟ้องเช่นนี้แล้ว ถ้าต่อมาศาลฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยไม่ได้มีเจตนาหางานให้ผู้เสียหายแต่แรก แน่นอนว่าศาลคงพิพากษายกฟ้องข้อหาจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาต ส่วนข้อหาหลอกลวงหรือฉ้อโกง ผู้เขียนก็ยังสงสัยอยู่เหมือนกันว่า จะพิพากษาลงโทษจำเลยได้หรือไม่ กรณีจะถือว่าข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๒ วรรค ๒ หรือไม่ เพราะโจทก์ฟ้องว่าจำเลยมีเจตนาหางานให้ผู้เสียหายทำ แต่ทางพิจารณากลับได้ความว่า จำเลยไม่มีเจตนาหางานให้แต่แรก
. มีคดีเรื่องหนึ่งคือ คดีตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๕๘๑๑ / ๒๕๔๐ ซึ่งศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “................ความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนกับความผิดฐานจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยทั้งสองกับพวกสามารถกระทำความผิดต่อเนื่องในคราวเดียวกันได้ กล่าวคือ การที่จำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันประกอบธุรกิจจัดหางานให้แก่คนหางานทั่วไปด้วยการเรียกและรับเงินค่าบริการเป็นการตอบแทนจากคนหางาน โดยจำเลยทั้งสองกับพวกมิได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียนจัดหางานกลางก่อนที่จำเลยทั้งสองกับพวกจะไปหลอกลวงประชาชน รวมทั้งผู้เสียหายทั้งหกให้ไปสมัครงานกับจำเลยทั้งสองและพวก การกระทำของจำเลยทั้งสองกับพวกมีความผิดฐานจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตอันเป็นความผิดต่อพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๔ , ๓๐ วรรคหนึ่ง และ ๘๒ สำเร็จแล้วกระทงหนึ่ง ส่วนการที่จำเลยทั้งสองกับพวกไปหลอกลวงบรรดาประชาชนรวมทั้งผู้เสียหายทั้งหกผู้ซึ่งประสงค์จะเดินทางไปทำงานยังต่างประเทศให้ไปสมัครงานกับจำเลยทั้งสองและพวกด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จว่า จำเลยทั้งสองและพวกสามารถจัดส่งคนงานหางานรวมทั้งผู้เสียหายทั้งหกไปทำงานยังต่างประเทศในตำแหน่งงานและอัตราค่าจ้างตามที่คนหางานและผู้เสียหายทั้งหกต้องการได้ ทั้งที่ความจริงแล้วจำเลยทั้งสองและพวกไม่สามารถที่จะจัดส่งบรรดาคนหางานและผู้เสียหายทั้งหกไปทำงานยังต่างประเทศได้ เป็นเหตุให้ผู้เสียหายทั้งหกและประชาชนซึ่งเป็นคนหางานหลงเชื่อว่า ข้อความเท็จที่จำเลยทั้งสองและพวกหลอกลวงเป็นความจริง ต่างพากันมอบเงินค่าบริการจัดหางานเป็นการตอบแทนให้แก่จำเลยทั้งสองและพวก การกระทำของจำเลยทั้งสองและพวกดังกล่าวย่อมเป็นความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๔๓ วรรคแรก ประกอบด้วย มาตรา ๘๓ สำเร็จแยกต่างหากจากความผิดฐานจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตอีกกระทงหนึ่ง ........”
คำพิพากษาศาลฎีกาเรื่องนี้ มีข้อสังเกตคือ แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องข้อหาความผิดฐานฉ้อโกงเช่นเดียวกับการบรรยายฟ้องในคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๘๗๙/๒๕๓๔ และ ๕๓๘๕/๒๕๓๙ ดังกล่าวข้างต้น คือ บรรยายฟ้องในความหมายทำนองว่า จำเลยไม่มีเจตนาหางานให้ผู้เสียหายแต่แรก แต่ศาลฎีกาก็พิพากษาลงโทษจำเลยในข้อหาจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่ได้ยกฟ้องด้วยการตัดฟ้องโจทก์เสียแต่แรกเหมือนเช่นคดีดังกล่าว แต่เมื่อพิจารณาดูให้ดีก็จะเห็นว่า ในการบรรยายฟ้องโจทก์สำหรับข้อหาจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น ผู้เขียนเข้าใจว่า โจทก์น่าจะบรรยายฟ้องในทำนองว่า “…… จำเลยประกอบธุรกิจจัดหางานให้แก่คนหางานทั่วไป โดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนจัดหางานกลาง……” ขณะที่คดีตามคำพิพากษาศาลฎีกา ที่ ๘๗๙ / ๒๕๓๔และ ๕๓๘๕ / ๒๕๓๙ โจทก์น่าบรรยายฟ้องข้อหาดังกล่าวในทำนองว่า “…….จำเลยจัดหางานให้แก่ผู้เสียหาย โดยจำเลยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนจัดหางานกลาง……….”
ดังนั้น ผู้เขียนจึงเห็นว่า การบรรยายฟ้องเหมือนเช่นคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๕๘๑๑ / ๒๕๔๐ จึงเป็นทางเลือกทางหนึ่งที่น่าสนใจ เพราะหากจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ก็สามารถลงโทษจำเลยได้ทั้งข้อหาจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตและข้อหาฉ้อโกง โดยถือว่าเป็นการกระทำหลายกรรมต่างกัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น หากจำเลยให้การปฏิเสธ โจทก์ต้องนำสืบให้ได้ว่า ก่อนที่จำเลยจะหลอกลวงหรือฉ้อโกงผู้เสียหายว่า สามารถหางานให้ได้ทั้ง ๆที่ไม่มีเจตนาจะหางานให้ จำเลยได้ประกอบธุรกิจโดยมีเจตนาหางานให้กับประชาชนทั่วไปมาก่อน มิฉะนั้น ก็จะไม่สามารถลงโทษจำเลยฐานจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตได้
อนึ่ง น่าคิดว่า หากโจทก์บรรยายฟ้องในทำนองเดียวกันกับคดีลักทรัพย์หรือรับของโจร เช่น บรรยายฟ้องว่า “ เมื่อวันที่……..จำเลยเจตนาจัดหางานให้แก่ผู้เสียหายโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนจัดหางานกลาง หรือมิฉะนั้นตามวัน เวลาดังกล่าว จำเลยไม่ได้มีเจตนาจัดหางานให้ผู้เสียหาย แต่มีเจตนาหลอกลวงหรือฉ้อโกงผู้เสียหายด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ……..” ศาลฎีกาจะวินิจฉัยคดีอย่างไร ซึ่งหากมี ก็คงต้องรอดูแนวคำพิพากษาศาลฎีกากันต่อไป./
[1] ลงพิมพ์เผยแพร่ในนิตยสาร “บทบัณฑิตย์” เล่มที่ ๕๘ ตอน ๓ กันยายน ๒๕๔๕ และวารสารกฎหมาย มสธ. ปีที่ ๑๔ ฉบับที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๔๕.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น