ความเป็นอิสระของผู้พิพากษา [1]
โดย... โสต สุตานันท์
รัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. ๒๕๔๐ ได้บัญญัติหลักประกันความเป็นอิสระของผู้พิพากษาหรือตุลาการไว้ ในมาตรา ๒๔๙ ซึ่งมีสาระสำคัญโดยสรุป ๒ ประการ คือ
ประการแรก - ผู้พิพากษามีอิสระในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีทั้งปวง ไม่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาตามลำดับชั้น
ประการที่สอง - การโยกย้ายผู้พิพากษาต้องได้รับความยินยอมจากตัวผู้พิพากษาที่จะถูกย้ายก่อน เว้นแต่ เป็นการโยกย้ายตามวาระ การเลื่อนตำแหน่งให้สูงขึ้น หรืออยู่ระหว่างการถูกดำเนินการทางวินัย หรือตกเป็นจำเลยในคดีอาญา
จากบทบัญญัติดังกล่าว ผู้เขียนมีข้อสังเกต คือ
๑.) ระหว่างอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีกับอำนาจหน้าที่ในทางบริหารนั้น บางครั้งบางเรื่องมันเกี่ยวพันกันจนแยกไม่ออก เราไม่สามารถแบ่งแยกได้อย่างชัดเจนว่า อันไหนเป็นเรื่องอรรถคดี อันไหนเป็นเรื่องการบริหาร เช่น แนวปฏิบัติ
ในการพิจารณาคดีต่อเนื่อง ระบบการนัดความ แนวปฏิบัติในการพิจารณาคำขอปล่อยชั่วคราว การตัดสินคดีตามบัญชีอัตราโทษ (ยี่ต๊อก) หรือ นโยบายของผู้บริหารในเรื่องต่าง ๆอันเกี่ยวกับกระบวนการพิจารณาคดี ฯลฯ ผลที่ตามมาก็คือ ความไม่ชัดเจนในทางปฏิบัติ ความสับสน ความไม่แน่ใจ ของผู้บริหารศาลทุกระดับในการกำหนดนโยบายหรือแนว
ปฏิบัติในเรื่องต่าง ๆ (เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผู้เขียนเคยเขียนบทความเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาในเรื่องดังกล่าวไว้ โดยเห็นว่า ศาลยุติธรรมน่าจะกำหนดนโยบายหรือออกระเบียบปฏิบัติในทำนองว่า “ กรณีการออกคำสั่งหรือแนวทางปฏิบัติในเรื่องใดที่ออกมาเพื่อใช้บังคับเป็นการทั่วไปกับทุกคน ทุกคดี ถือเป็นเรื่องอำนาจทางการบริหาร แต่ถ้าเป็นการปฏิบัติเฉพาะเรื่องเฉพาะคดีแล้ว ต้องถือว่าเป็นเรื่องทางอรรถคดี ” )
๒.) ความเป็นอิสระโดยปราศจากขอบเขต นั้น มีความสุ่มเสี่ยงเป็นอย่างยิ่งที่จะถูกกล่าวหาว่า เป็นการใช้ดุลพินิจตามอำเภอใจ นอกจากนั้น ในบางครั้งยังก่อให้เกิดผลกระทบที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ ส่งผลให้การปฏิบัติงานของศาลขาดความเป็นเอกภาพ และไม่สอดคล้องกับการใช้อำนาจของฝ่ายบริหารหรือฝ่ายนิติบัญญัติ เช่น
๒.๑ ในช่วงเทศกาลปีใหม่หรือสงกรานต์ ฝ่ายบริหารมุ่งให้ความสำคัญต่อเรื่องการขับรถขณะเมาสุรา เนื่องจากเห็นว่า เป็นต้นเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุและสร้างความเสียหายต่อสังคมและบุคคลที่เกี่ยวข้องอย่างใหญ่หลวง จึงมีนโยบายในการเข้มงวดกวดขันจับกุมผู้กระทำความผิดฐานขับรถขณะเมาสุราอย่างเคร่งครัดเป็นพิเศษ ดังนั้น โดยหลักแล้วศาลยุติธรรมก็ควรที่จะกำหนดนโยบายหรือแนวทางในการตัดสินคดีให้สอดคล้องหรือคำนึงถึงนโยบายของฝ่ายบริหารดังกล่าวด้วย เช่น อาจใช้ดุลยพินิจลงโทษให้หนักขึ้น เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อให้การตัดสินคดีเป็นไปในทิศทางเดียวกันทั้งประเทศ อันจะช่วยก่อให้เกิดพลังมากพอที่จะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคนในสังคมหรือมีอิทธิพลต่อการชี้นำสังคมให้เดินไปในครรลองที่ถูกต้องดีงามได้ แต่ในทางปฏิบัติที่ผ่านมา ศาลแต่ละแห่ง แต่ละจังหวัด จะตัดสินคดีโดยอิสระ หนักบ้าง เบาบ้าง ตามความคิด ความเห็น หรือทรรศนะของผู้พิพากษาในแต่ละศาล
๒.๒ ฝ่ายนิติบัญญัติออกกฎหมายลงโทษปรับในคดียาเสพติดไว้ค่อนข้างสูง เนื่องจากเห็นว่า การใช้มาตรการทางด้านทรัพย์สินน่าจะเป็นการป้องกันปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดได้ดีขึ้น ดังนั้น ศาลก็ควรจะบังคับใช้กฎหมายให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของฝ่ายนิติบัญญัติด้วย โดยการให้ความสำคัญกับการบังคับโทษปรับอย่างจริงจังก่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติให้ได้มากที่สุด แต่ในทางปฏิบัติกลับปรากฏว่า ที่ผ่านมา เราได้ค่าปรับเฉพาะตัวเลขในคำพิพากษาเท่านั้น เพราะส่วนใหญ่ศาลจะให้กักขังแทนค่าปรับ
๒.๓ กรณีเกิดโรคระบาด เช่น ไข้หวัดนก โดยปกติแล้วทั้งฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติย่อมให้ความสำคัญเป็นพิเศษ ด้วยการออกกฎหมายหรือกำหนดมาตรการต่าง ๆ ขึ้นมาเพื่อควบคุมสถานการณ์อย่างเข้มงวดและเด็ดขาด เพราะถือเป็นเรื่องที่ร้ายแรง มีผลกระทบต่อสังคมอย่างใหญ่หลวง ดังนั้น ในการตัดสินคดีของศาลก็ควรจะดำเนินการอย่างรวดเร็วและเฉียบขาดด้วย เพื่อเป็นการสนับสนุนการปฏิบัติงานของฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารทางอ้อมให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น แต่ในทางปฏิบัติ ไม่เคยมีการกำหนดแนวทางปฏิบัติหรือนโยบายในเรื่องดังกล่าวไว้
๓.) กรณีมีปัญหาในเรื่องอัตรากำลังขาด เช่น ผู้พิพากษาลาคลอด ลาป่วย เข้ารับการศึกษาอบรม หรือมีเหตุจำเป็นอย่างยิ่งอื่นใด อันจะก่อให้เกิดผลเสียหายต่อทางราชการ ผู้บริหารของศาลจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ หากไม่มีผู้พิพากษาคนใดยอมย้ายหรือยอมไปช่วยราชการ ที่ผ่านมา อย่างมากผู้บริหารก็จะใช้วิธีการขอร้องกัน ซึ่งไม่น่าจะเป็นระบบที่ถูกต้อง ผู้เขียนเคยคิดเล่น ๆว่า หากมีเหตุใดเหตุหนึ่งเกิดขึ้น ทำให้ผู้พิพากษาในศาลจังหวัดใดจังหวัดหนึ่ง ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ทั้งศาล และไม่มีใครเสียสละยอมย้ายหรือไปช่วยราชการ สำนักงานศาลยุติธรรมก็คงต้องประกาศปิดศาลจังหวัดนั้นไป
เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหา ตามข้อสังเกตทั้ง ๓ ประการดังกล่าว ผู้เขียนจึงเห็นว่า นอกจากรัฐธรรมนูญจะบัญญัติให้ ผู้พิพากษาหรือตุลาการ มีความเป็นอิสระในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีแล้ว น่าจะบัญญัติเป็นหลักการเพิ่มเติมอีกในทำนองว่า “ ทั้งนี้ การใช้ดุลยพินิจที่เป็นอิสระนั้น ให้คำนึงถึงความเป็นเอกภาพในการปฏิบัติงานขององค์กร รวมทั้ง ต้องมีความสัมพันธ์ สอดคล้องกับหลักการหรือแนวนโยบายของฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารด้วย โดยให้ตระหนักถึงความถูกต้องเป็นธรรมและประโยชน์สูงสุดของสังคมโดยส่วนรวมเป็นสำคัญ ”
ทั้งนี้ ทั้งนั้น ก็เพื่อเป็นการกำหนดกรอบหรือขอบเขตของคำว่า “อิสระ” ให้ถูกต้อง เหมาะสม และชัดเจนยิ่งขึ้น ทั้งยังจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ต่อการแก้ไขปัญหาในภาคปฏิบัติ โดยการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ตามข้อความที่เสนอดังกล่าว จะเป็นกฎหมายแม่บท ที่เปิดช่องเปิดโอกาสให้มีการออกกฎหมายลูกหรือให้ผู้บริหารศาลสามารถกำหนดนโยบาย หรือแนวทางปฏิบัติต่าง ๆเพื่อประโยชน์ในการอำนายความยุติธรรมแก่ประชาชนหรือเพื่อสร้างความเป็นเอกภาพขององค์กรได้
นอกจากนั้น ยังเห็นว่า ควรที่จะบัญญัติให้อำนาจบุคคล หรือ คณะบุคคลใดบุคคลหนึ่ง เพื่อทำหน้าที่วินิจฉัยชี้ขาดว่า “ เรื่องใดเป็นอำนาจในทางอรรถคดี เรื่องใดเป็นอำนาจในทางบริหาร ” ด้วย ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความชัดเจนในทางปฏิบัติมากยิ่งขึ้น
สำหรับเรื่องการโยกย้ายผู้พิพากษานั้น ผู้เขียนเห็นว่า เหตุที่รัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. ๒๕๔๐ บัญญัติให้การโยกย้ายผู้พิพากษาต้องได้รับความยินยอมจากตัวผู้พิพากษาที่จะถูกย้ายก่อน ก็มีจุดประสงค์หลักเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้พิพากษาถูกกลั่นแกล้ง หรือถูกแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่จากผู้บริหาร ดังนั้น หากการโยกย้ายมีจุดประสงค์อย่างชัดเจนเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมแล้ว โดยหลักผู้บริหารย่อมมีอำนาจใช้ดุลพินิจสั่งย้ายได้ตามความเหมาะสม ไม่มีเหตุผลใดที่จะไปจำกัดอำนาจของผู้บริหาร เพราะมิฉะนั้นย่อมเกิดเหตุขัดข้องในการบริหารงาน ผู้เขียนจึงขอเสนอว่า ควรบัญญัติเพิ่มเติมข้อยกเว้นในการโยกย้ายที่ไม่จำเป็นต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิพากษาอีกประการหนึ่ง คือ “ กรณีมีเหตุผลความจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อประโยชน์ของทางราชการโดยส่วนรวม ” อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การใช้ดุลพินิจเป็นไปอย่างรอบคอบและเป็นธรรม ก็อาจบัญญัติให้ต้องได้รับความเห็นชอบจาก คณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.) ก่อนก็ได้./
---------------------------------------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น