โดย...โสต สุตานันท์
สืบเนื่องจากบทความผู้เขียนเรื่อง “การจัดการความขัดแย้งในสังคม” ซึ่งลงพิมพ์เผยแพร่ในหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน เมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ ที่ผ่านมา ปรากฏว่ามีกัลยาณมิตรท่านหนึ่งได้กรุณาส่ง Email ไปแลกเปลี่ยนความเห็นกับผู้เขียน โดยท่านตั้งข้อ สังเกตไว้ว่า “เหรียญมีสองด้าน compromise มีทั้งด้านบวกและด้านลบ ควรใช้ส่วนที่เป็นประโยชน์ของ compromise เพื่อมุ่งไปสู่ harmony สังคมต้องรู้จักประนีประนอม ถอยกันบ้าง อภัยกันบ้าง แล้วหันหน้าเข้าหากันเพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหา ไม่ใช่เผชิญหน้ากัน ซึ่งจะทำให้ปัญหายุ่งยากยิ่งขึ้น” ซึ่งผู้เขียนก็เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งและได้เรียนชี้แจงตอบกลับไปว่า เจตนาที่ผู้เขียนหยิบยกคำว่า compromise และ harmonize ขึ้นมาวิเคราะห์ในบทความครั้งก่อน ก็เพื่อจะได้เปรียบเทียบให้เห็นถึงเหตุแห่งปัญหาของสังคมไทยในภาพกว้างเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่า ผู้เขียนมองว่าการ compromise เป็นสิ่งไม่ดีและขอถือโอกาสเสริมความเห็นท่านไว้ ณ ที่นี้ว่า วิธีการ compromise ที่ถูกต้องนั้น ต้องมุ่งแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนในระยะยาว โดยคำนึงถึงปัจจัยเงื่อนไขต่าง ๆอย่างครบถ้วนรอบด้านในลักษณะเป็นองค์รวม ไม่ใช่เพียงเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเป็นครั้งคราวไป อาจกล่าวได้ว่าการ compromise ที่ถูกต้องมีเหตุผลถือเป็นวิธีการสำคัญอย่างหนึ่งของกระบวนการแก้ไขปัญหาแบบ harmonize นั่นเอง ตัวอย่างเช่น การยอมถอยคนละก้าวนั้น หากเป็นการถอยไปอยู่ในจุดที่เหมาะสม ถูกที่ถูกทาง ถูกตำแหน่งของตนเอง ย่อมเกิดการลงตัวเข้ากันได้ดีและเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย แต่หากถอยไปอยู่ในจุดที่ไม่ควรจะอยู่ก็เท่ากับว่าเป็นการทิ้งเชื้อแห่งปัญหาค้างคาไว้
จุดไหนที่เหมาะสมไม่เหมาะสม ควรอยู่หรือไม่ควรอยู่ ผู้เขียนเคยแสดงทรรศนะไว้ในบทความเรื่อง “ความหมายของคำว่า ประชาธิปไตย” ซึ่งลงพิมพ์เผยแพร่ในหนังสือพิมพ์มติชนรายวันฉบับลงวันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๕๒ โดยได้ให้ความเห็นไว้ตอนหนึ่งว่า “คำว่า ศักดิ์ศรี สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคนั้น ไม่ได้หมายความว่า มนุษย์ทุกคนจะต้องมีสิ่งต่าง ๆเหมือนกันหรือเท่าเทียมกันหมด ที่ถูกต้องแล้วน่าจะหมายความว่าทุกคนมีศักดิ์ศรี มีสิทธิ มีเสรีภาพ และมีความเสมอภาค ตามภาวะตามปัจจัย ตามเงื่อนไขแห่งธรรมชาติ ที่บุคคลนั้น ๆควรจะพึงมี” และอีกตอนหนึ่งว่า “การสร้างกฎเกณฑ์กติกาเพื่อให้มนุษย์แต่ละคนมีศักดิ์ศรี มีสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค ตามภาวะปัจจัย ตามเหตุตามผลที่บุคคลนั้น ๆควรจะพึงมีในมุมมองความหมายของผู้เขียน ก็คือ การเปิดโอกาสให้ทุกคนในสังคมดำเนินชีวิต ประกอบอาชีพหรือกระทำกิจกรรมใด ๆได้โดยอิสรเสรี ตามความรู้ความสามารถหรือความชอบความถนัดของแต่ละคน รวมทั้งต้องสร้างคุณค่าหรือผลตอบแทนในรูปแบบต่าง ๆสำหรับการงานอาชีพหรือกิจกรรมนั้น ๆให้เหมาะสมเป็นธรรม ชอบด้วยเหตุผล แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สิ่งเหล่านั้นต้องไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดีหรือสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น อีกทั้งต้องไม่ส่งผลกระทบเสียหายต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมด้วย....”
ที่กล่าวมาอาจมีลักษณะเป็นนามธรรมมากเกินไป วันนี้จึงขอยก ตัวอย่างวิธีการแก้ไขปัญหาแบบ harmonize ที่เป็นรูปธรรม ด้วยการหยิบยกปัญหาเกี่ยวกับเรื่องที่มาของฝ่ายบริหารหรือคณะรัฐมนตรีขึ้น มาวิเคราะห์แลกเปลี่ยนความเห็นกับท่านผู้อ่านดังนี้ คือ
ก่อนอื่นขอแสดงทรรศนะไว้ในเบื้องต้นก่อนว่า ผู้เขียนเชื่อว่า คนไทยทุกคน ทุกกลุ่ม ทุกสี ทุกพรรค ฯลฯ รักชาติรักแผ่นดิน ขณะเดียวกันก็เชื่อว่าทุกคนรักตัวเองด้วย อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาดูให้ดีก็จะพบว่าการรักชาติกับรักตัวเองนั้นเป็นสิ่งเดียวกัน เพราะองค์ประกอบสำคัญของรัฐชาติอย่างหนึ่งคือคน ถ้าไม่มีคนย่อมไม่มีชาติให้รักได้ แต่วิธีคิดวิธีการแสดงออกซึ่งการรักชาติรักตนเองนั้น ย่อมแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับปัจจัยเงื่อนไขต่าง ๆมากมาย บางคนมองแค่วันนี้วันพรุ่งนี้ บางคนมองถึงเดือนหน้า ปีหน้า สองปี สี่ปีหน้า บางคนมองไกลถึงสิบปี ยี่สิบปีหรือชาติหน้า ผู้เขียนไม่เชื่อว่าจะมีใครที่รักชาติอย่างเดียวโดยไม่รักตัวเอง หรือรักตัวเองอย่างเดียว โดยไม่ห่วงชาติบ้านเมือง
โจทย์ก็คือว่าเราจะทำอย่างไรให้การรักชาติกับรักตัวเองประสานกลมกลืนเข้าด้วยกันอย่างลงตัวไม่มีหรือไม่เหลือความขัดแย้ง พูดง่าย ๆก็คือ จะทำอย่างไรให้ทั้งตนเองและทุกคนในชาติมีความสุขหรือได้รับประโยชน์อย่างเป็นธรรม ไม่ใช่ตนเองได้ถ่ายเดียว แต่คนอื่นเดือดร้อน หรือยอมให้คนอื่นได้แต่ตนเองเดือดร้อน
แน่นอนว่า ผู้เขียนเชื่อว่านักการเมืองทุกคนรักชาติรักแผ่นดิน และก็เชื่อว่านักการเมืองทุกคนรักตนเอง อยากมีเกียรติยศ ชื่อเสียง ทรัพย์สิน เงินทอง อยากมีอำนาจวาสนา อยากเป็นรัฐมนตรี แต่การเป็นรัฐมนตรีนั้นต้องไม่ทำให้ประเทศชาติเสียหายหรือเสียโอกาส ผู้เขียนขอไม่กล่าวถึงกฎเกณฑ์กติกาอันเป็นที่มาของคณะรัฐมนตรีและสภาพปัญหาในรายละเอียด เพราะคิดว่าที่ผ่านมาสังคมไทยได้เรียนรู้มามากเกินพอด้วยซ้ำไป แต่ขอสรุปรวดรัดว่าด้วยกลไกของระบบที่ผ่านมา ทำให้เราได้คณะรัฐมนตรีที่ไม่สอดคล้องเหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่ ไม่ใช่นักบริหารรัฐกิจมืออาชีพอย่างแท้จริง จะเห็นได้ว่าหลายครั้งที่เราได้นักเลือกตั้ง นักเจรจาต่อรอง นักพนัน ได้บุคคลที่มีความรู้ความ สามารถหรือความถนัดในทางค้าขาย โฆษณาประชาสัมพันธ์ โต้วาที ฯลฯ หรือบุคคลที่มีศักยภาพเหมาะสมกับการบริหารงานในระดับจังหวัดหรือท้องถิ่นมาเป็นรัฐมนตรี ผลก็คือนอกจากจะทำให้ส่วน รวมเสียหายแล้ว ตัวรัฐมนตรีเองก็อยู่ในตำแหน่งอย่างไม่มีความสุข ไร้เกียรติ์ ไร้ศักดิ์ศรี เนื่องจากผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมหรือแม้กระทั่งผู้ ใต้บังคับบัญชาเองไม่ยอมรับ ลองคิดดูซิว่าการสั่งงานหรือการนั่งเป็นประธานที่ประชุมเพื่อพิจารณาถกเถียงกันในเรื่องที่ตนเองไม่มีความรู้หรือการติดต่อสัมพันธ์กับผู้คนในต่างประเทศ โดยที่ตนเองไม่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องภาษาเป็นอย่างดีมันอึดอัดลำบากใจมากแค่ไหน เรียกว่าเป็นทุกขลาภ หลอกทั้งตัวเองและสังคมไปวัน ๆ บางครั้ง บางทีก็พลาดพลั้งถึงกับติดคุกติดตารางไปก็มี ดังปรากฏให้เห็นเป็นตัวอย่างกันมาแล้ว
ณ เวลานี้ เราต้องยอมรับความจริงกันว่า ระบบที่เป็นอยู่ถึงทางตันแล้ว ไม่ว่าจะมีการยุบสภา ลาออกและเลือกตั้งใหม่กันอีกกี่ครั้ง หากกฎเกณฑ์กติกายังเป็นเหมือนเดิม ก็เชื่อว่าคงไม่มีอะไรดีขึ้น ซ้ำร้ายสถานการณ์น่าจะยิ่งเลวร้ายมากขึ้นไปอีก ผู้เขียนคิดว่าถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องทบทวนตรวจสอบ ปรับปรุง เปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์กติกากันใหม่ให้สอดคล้องเหมาะสมกับสถานการณ์สิ่งแวดล้อมและบริบทของสังคมที่เปลี่ยนไป หาไม่แล้วกาลอาจสายเกินแก้
โอกาสนี้ จึงใคร่ขอเสนอทางออกในการแก้ไขปัญหาเรื่องดัง กล่าว โดยขอตั้งโจทย์ไว้ว่า เราจะทำอย่างไรเพื่อให้ได้คณะรัฐมนตรีที่ดีมีศักยภาพเหมาะสมกับการบริหารงานในระดับชาติ ซึ่งแน่นอนว่า ต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์แห่งประชาธิปไตย เพราะคงไม่มีใครที่จะพิจารณาแต่งตั้งรัฐมนตรีได้ดีที่สุดเท่ากับประชาชน วิธีการก็คือ กำหนดให้มีการจัดทำบัญชีรายชื่อบุคคลที่จะเสนอให้เป็นคณะผู้บริหารประเทศให้ชัดเจน (นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีทุกกระทรวง) โดยบุคคลตามบัญชีจะสังกัดพรรคการเมืองหรือไม่สังกัดก็ได้ แล้วให้ประชาชนตัดสินใจเลือกตั้งคณะผู้บริหารโดยตรงตามบัญชีรายชื่อที่เสนอต่อสาธารณชน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นรัฐต้องเป็นกลไกหลักในการช่วยเหลือดูแล หรือควบคุมการหาเสียงเลือกตั้งของคณะผู้สมัครให้อยู่ในขอบเขตที่เหมาะสม ถูกต้องเป็นธรรม มิให้มีการได้เปรียบ เสียเปรียบซึ่งกันและกัน กิจกรรมใดที่ต้องใช้เงินจำนวนมาก เช่น การหาเสียงทางโทรทัศน์ วิทยุ สื่อสิ่งพิมพ์ หรือการจัดเวทีปราศรัย รัฐต้องเข้าไปช่วยเหลือและบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ มีหลักมีเกณฑ์ที่ชัดเจน โดยวิธีการช่วยเหลือไม่จำเป็นต้องอยู่ในรูปของตัวเงินเสมอไป อาจขอความร่วมมือไปยังสื่อสารมวลชลแขนงต่างๆให้ช่วยกันเสียสละหรือขอให้ประชาชนทุกหมู่เหล่าร่วมแรงร่วมใจกันคนละไม้คนละมือ ซึ่งผู้เขียนเชื่อว่าสถานการณ์ ณ ขณะนี้ คนไทยทุกคนพร้อมที่จะให้ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาให้กับชาติบ้านเมือง
รูปแบบแนวทางตามที่เสนอดังกล่าว น่าจะมีข้อดีหลายประการ คือ
๑. เปิดโอกาสให้คนเก่งคนดีสามารถเสนอตัวให้ประชาชนเลือกเข้าไปบริหารชาติบ้านเมืองได้ง่ายขึ้น ผู้เขียนเชื่อว่าแท้จริงแล้วคนเก่งคนดีทั้งหลาย ซึ่งมีอยู่มากมายในสังคมไทย ก็อยากจะเสียสละด้วยการลงสมัครรับเลือกตั้ง แต่เหตุผลสำคัญที่ไม่ลง ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะ ว่าระบบที่เป็นอยู่ไม่เอื้ออำนวย ระบบที่ไม่ดีย่อมกีดกันไม่ให้คนเก่งคนดีมีโอกาสได้รับเลือก ระบบที่มีปัญหาย่อมเป็นอุปสรรคต่อการทำงานของคนเก่งคนดี หากมีการสร้างระบบการเลือกตั้ง สร้างระบบการบริหารราชการแผ่นดินที่ดีมีประสิทธิภาพ ก็เชื่อว่าจะมีคนเก่งคนดีมากมายที่พร้อมจะเสนอตัวอาสาเข้ามาช่วยเหลือรับใช้สังคม รูปแบบตามที่เสนอน่าจะเปิดโอกาสให้คนเก่งคนดี สามารถรวมตัวกันเพื่อเสนอตัวให้เป็นทางเลือกของประชาชนได้โดยง่ายกว่าที่ผ่านมา อันจะก่อให้เกิดคุณูปการต่อประเทศชาติอย่างมากมายมหาศาล เพราะใน ทางการเมืองนั้นหากเราได้ผู้นำสูงสุดที่เป็นคนเก่งคนดีมีคุณธรรมสูง ย่อมส่งผลทำให้เราได้ผู้นำระดับรองลงไปในทุกลำดับชั้นเป็นคนดีมีคุณภาพตามไปด้วย อาจกล่าวได้ว่าถ้าเราได้นายกรัฐมนตรีเป็นคนดี ท้ายที่สุดเราก็จะได้นักการภารโรงที่ดีตามไปด้วยเช่นกัน เพราะนายก รัฐมนตรีที่ดีย่อมเลือกคณะรัฐมนตรีที่ดี รัฐมนตรีที่ดีย่อมเลือกปลัดกระทรวงที่ดี ไล่เรียงลำดับลงไปจนถึงอันดับสุดท้าย ผลที่ตามมาก็คือ ความร่มเย็นเป็นสุขของเหล่าประชาราษฎรอย่างถ้วนหน้า ในทางตรงกันข้ามหากเราได้นายกรัฐมนตรีไม่ดี มีคณะรัฐมนตรีที่มีปัญหา เหล่าปวงประชาย่อมได้รับความเดือดร้อนกันทุกย่อมหญ้า เพราะบ้าน เมืองจะเต็มไปได้ด้วยพวกกังฉินที่มีอำนาจ คนดีจะต้องแอบเดินอยู่ตามตรอกขณะที่พวกขี้ครอกจะเดินกร่างอยู่เต็มถนน
๒. คณะผู้สมัครไม่ต้องใช้ทุนในการหาเสียงหรือดำเนินกิจกรรมต่าง ๆในทางการเมืองมากนัก เพราะรัฐให้การช่วยเหลือดูแลในเรื่องหลักๆไปแล้ว จึงน่าจะเป็นอิสระและไม่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลการครอบ งำของกลุ่มทุนต่าง ๆ ระบบส.ส.บัญชีรายชื่อหรือปาร์ตี้ลิสพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเป็นอุปสรรคต่อการส่งเสริมสนับสนุนคนเก่งคนดี เพราะท้ายที่สุดก็จะถูกครอบงำหรือถูกกดดันให้ออกไปจากกลุ่มทุนขนาดใหญ่
๓. ฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติจะเป็นอิสระจากกันค่อนข้างชัด เจน โดยระบบคงเป็นไปได้ยากที่ฝ่ายบริหารจะเข้าไปครอบงำฝ่ายนิติบัญญัติได้โดยง่ายเหมือนเช่นอดีตที่ผ่านมา ผลก็คือ การคานดุลตรวจ สอบจะมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
๔. ประชาชนสามารถตัดสินใจเลือกได้อย่างถูกต้องตรงตามความต้องการของตนเอง เพราะรู้ล่วงหน้าแล้วว่าคณะผู้บริหารที่เสนอตัวให้เลือกเป็นใครบ้าง มีประวัติความเป็นมาอย่างไร มีความรู้ความ สามารถแค่ไหน เพียงใด อีกทั้งหลังเลือกตั้งเสร็จจะไม่ปรากฏภาพที่น่าเบื่อหน่าย คือ การแย่งกันเป็นรัฐมนตรีของเหล่านักการเมืองอีกต่อ ไป เพราะแต่ละกลุ่มแต่ละพรรคได้มีการเจรจาตกลงหรือถกเถียงกันจนได้ข้อยุติก่อนที่จะมีการเลือกตั้งแล้ว
๕.การจัดสรรงบประมาณจะถูกต้องเป็นธรรมมากยิ่งขึ้นเพราะ ที่ผ่านมาสิ่งที่ฝ่ายบริหารมักจะถูกข้อครหาเป็นประจำคือ เน้นการจัด สรรงบประมาณให้กับเขตหรือจังหวัดที่เป็นฐานเสียงของส.ส.ในพรรค รัฐบาลเป็นสำคัญ ระบบใหม่ตามที่เสนอน่าจะมีส่วนช่วยแก้ปัญหาดัง กล่าวได้ เพราะคณะผู้บริหารมาจากฐานเสียงของประชาชนในภาพ รวมทั้งประเทศ อีกทั้งยังน่าจะช่วยสร้างความสมานฉันท์ให้กับผู้คนในชาติได้อีกทางหนึ่งด้วย
๖. การเลือกตั้งในอดีตที่ผ่านมา มีพลังเงียบจำนวนมากที่ไม่ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นชนชั้นกลางหรือคนรุ่นใหม่ที่มีความรู้มีการศึกษาที่ดี เหตุผลสำคัญน่าจะเป็นเพราะว่า เขาไม่รู้จะเลือกใคร เนื่องจากเห็นว่าไม่มีผู้สมัครคนใดที่มีคุณสมบัติดีพอให้เลือกหรือเลือกไปคนที่ตัวเองลงคะแนนให้ก็คงไม่ได้รับเลือกอยู่ดี เพราะสู้อำนาจอิทธิพลเงินตราไม่ได้ รูปแบบตามที่เสนอน่าจะช่วยดึงพลังเงียบ ดังกล่าวให้ออกมาใช้สิทธิ์ใช้เสียงได้ไม่น้อยเลยทีเดียวและน่าจะส่งผลต่อทิศทางการเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าการเมืองไทยไปในทางที่ดีขึ้น เหตุผลเพราะว่ากลุ่มคนดังกล่าวน่าจะมีความเป็นอิสระและมีวิจารณ ญาณที่ดี จึงน่าจะลงคะแนนอย่างมีเหตุผลไปในทิศทางเดียวกันอย่างเป็นกลุ่มเป็นก้อน ขณะที่กลุ่มคนซึ่งเกิดจากการจัดตั้ง เกิดจากระบบอุปถัมภ์หรือยอมให้มีการซื้อสิทธิ์ขายเสียง น่าจะมีการลงคะแนนในลักษณะกระจัดกระจายแบ่งกันไปตามฐานเสียงหรือกำลังเงินของแต่ละพรรคแต่ละกลุ่ม ซึ่งเมื่อพลังเงียบดังกล่าวรวมตัวกับพลังของคนส่วนใหญ่ที่เป็นกลาง อยากให้สังคมสงบสุข ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดอย่างสุดขั้ว ก็น่าจะส่งผลทำให้ประชาธิปไตยของเราก้าวหน้าไปอีกขั้นหนึ่ง
๗. ช่วยป้องกันการปฏิวัติ เหตุผลเพราะว่าหากยุคใดสมัยใดผู้ คนส่วนใหญ่ในสังคมหลงผิดตัดสินใจเลือกคณะผู้บริหารที่ไม่ดีไปสร้างวิกฤตปัญหาให้กับชาติบ้านเมือง โดยกลไกของระบบที่เสนอก็ยัง พอมีช่องทางที่จะเพรียกหาคนเก่งคนดีให้เข้าไปช่วยเหลือแก้ไขปัญหาได้ภายใต้กฎเกณฑ์แห่งระบอบประชาธิปไตย โดยไม่จำต้องใช้วิธีการรัฐประหารแล้วเชิญคนเก่งคนดี (ตามความเห็นของคณะรัฐประหาร) มากอบกู้บ้านเมือง ถึงแม้คณะผู้บริหารที่สร้างปัญหาจะไม่ยอมยุบสภา หรือลาออกแต่เราก็คงอดทนรออย่างมากที่สุดไม่เกิน ๔ ปี
หากสถานการณ์บ้านเมืองอยู่ในภาวะปกติ โดยฐานะตำแหน่งและ บทบาทหน้าที่ของผู้เขียนคงเป็นเรื่องไม่เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะแสดง ออกซึ่งความคิดความเห็นดังที่กล่าวมา เพราะเป็นเรื่องที่มีคนได้คนเสีย เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอำนาจและผลประโยชน์ทางการเมืองโดยตรง ซึ่งย่อมเป็นธรรมดาที่จะต้องมีคนเห็นต่าง และเกิดข้อถกเถียงตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ในภาวะที่ไม่ปกติเหมือนเช่นปัจจุบันผู้เขียนเห็นว่าเวลาเราเหลือน้อยเต็มทีแล้ว คนไทยทุกคนต้องช่วยกันคิดช่วย กันหาทางออก เปรียบเสมือนเรือรั่วกำลังจะจม เราต้องช่วยกันวิดน้ำ ช่วยกันอุดรูรั่วก่อน จะคิดว่าไม่ใช่กงการอะไรของตัวเองหรือไม่อยากไปก้าวก่ายหน้าที่คนอื่นคงจะไม่ได้ เพราะหาไม่แล้ว ถึงที่สุดเราอาจ จะไม่มีโอกาสแม้กระทั่งการได้ทำหน้าที่หลักของตัวเอง เพราะเรือได้จมลงสู่ใต้ก้นมหาสมุทรเสียแล้ว
ท้ายที่สุดนี้ ผู้เขียนขอฝากมายังประชาชนคนไทยทุกท่านที่ได้อ่าน บทความนี้ ไม่ว่าจะเป็นท่านที่มีอำนาจ มีตำแหน่ง มีชื่อเสียงบารมีเป็นที่ยอมรับของผู้คนในสังคม หรือเป็นประชาชนคนธรรมดาทั่วไปตลอด ทั้งสื่อมวลชนทั้งหลายว่า หากท่านเห็นด้วยกับหลักการแนวคิดตามความเห็นของผู้เขียนดังกล่าวข้างต้น ก็ขอได้โปรดช่วยกันหยิบยกไปวิเคราะห์วิจารณ์หรือนำไปถกเถียงต่อยอดแลกเปลี่ยนความคิด ความเห็นระหว่างกัน เพื่อจะได้ช่วยกันหาหนทางในการแก้ไขปัญหาให้กับชาติบ้านเมืองของพวกเราทุกคนให้พ้นจากวิกฤตอันใหญ่หลวงครั้งนี้ให้ได้ต่อไป อนึ่ง หากประชาชนคนส่วนใหญ่เห็นพ้องด้วย ก็ขอภาวนาให้การเปลี่ยนแปลงเป็นไปตามครรลองแห่งระบอบประชาธิปไตยด้วยเถิด ขออย่าได้มีการปฏิวัติรัฐประหารกันอีกเลย./
----------------------------------------
บันทึกเพิ่มเติม
หลังจากผู้เขียนส่งบทความลงพิมพ์เผยแพร่แล้ว ปรากฏว่า บังเอิญได้อ่านพบงานเขียนของศาสตราจารย์ ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช เรื่อง “ผ่าทางตันการเมืองไทย” ซึ่งเสนอให้มีการเลือกตั้งคณะผู้บริหารประเทศโดยตรงและมีเนื้อหาสาระเชิงวิชาการอย่างแท้จริง รวมทั้งยังชี้ให้เห็นถึงข้อดีข้อเสียโดยละเอียด ตัวอย่างข้อดีที่น่าสนใจประการหนึ่ง เช่น “เป็นการแก้ไขปัญหาเรื้อรังของการเมืองไทยที่มีการจัดคณะรัฐบาลตามโควตาของพรรคร่วมรัฐบาล หรือกลุ่มย่อยภายในพรรคภายหลังการเลือกตั้ง โดยเมื่อจัดตั้งคณะรัฐบาลแล้ว ประชาชนไม่ศรัทธาไม่สนับสนุน ตลอดจนเกิดปัญหาของการต่อรองระหว่างกลุ่มย่อยกับหัวหน้าคณะรัฐบาล” ท่านใดสนใจเปิดอ่านได้ที่ http://fpps.or. th/elibrary/download/book32.pdf
นอกจากนั้น ในเวลาต่อมาหนังสือพิมพ์มติชนรายวันฉบับลงวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๕๓ หน้า ๑๑ ได้ลงบทสัมภาษณ์ของท่านศาสตราจารย์ศรีราชา เจริญพาณิช เกี่ยวกับแนวทางในการแก้ไขปัญหาทางการเมือง ซึ่งมีเนื้อหาสาระบางส่วนเกี่ยวข้องกับประเด็นตามข้อเสนอของผู้เขียนด้วย จึงขอนำบางส่วนบางตอนมาเผยแพร่ต่อ ดังนี้ คือ
คำถาม แล้วมีแนวทางใดที่จะแก้ไขวงจรอุบาทว์ทางการเมืองได้ไหม
คำตอบ มองตามกรอบรัฐธรรมนูญ ผมเห็นว่า ควรจะเริ่มจาก
๑. ควรเขียนให้สั้น กำหนดเฉพาะโครงเรื่องในหลักการต่าง ๆเอาไว้ ส่วนรายละเอียดไปกำหนดในกฎหมายลูก
๒. นักการเมืองไม่ควรเข้าไปมีส่วนเกี่ยวพันเป็นผู้ยกร่าง เพราะมีแนวโน้มจะร่างบทบัญญัติที่ตอบสนองต่อตัวเองและพวกพ้อง ควรมอบหน้าที่ให้นักวิชาการหรือคนกลางอื่นๆและกำหนดห้ามอดีตส.ส.ร. มาเล่นการเมืองไว้ด้วย
๓. ปฏิรูปการเมืองใหม่ในลักษณะแยกอำนาจฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติให้ชัดเจน คือ คนที่เป็น ส.ส.จะทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติอย่างเดียว ส่วนฝ่ายรัฐบาลก็ให้ลงสมัครเป็นทีมงานคณะรัฐมนตรีเลย เพื่อให้ประชาชนได้พิจารณาเลือกคนที่เขาเชื่อมั่นในความรู้ความสามารถให้เข้ามาทำงานได้ เท่ากับว่ารัฐบาลก็จะมาจากการเลือกตั้งเช่นกัน ซึ่งอาจจะมีข้อรังเกียจเหมือนที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เคยเขียนไว้ว่า เลือกประธานาธิบดีไปแข่งกับในหลวง แต่การปรับเปลี่ยนวิธีการให้ได้มาซึ่งรัฐบาลนี้ก็เพื่อขจัดระบบการเมืองในปัจจุบันที่การให้ตำแหน่งฝ่ายบริหารนั้นเป็นการตอบสนองพวกพ้องมากกว่าส่วนรวม และประเทศก็ได้คนที่มาเป็นรัฐมนตรีมีคุณสมบัติไม่เหมาะกระทรวง ขณะที่ ส.ส.ก็จ้องแต่จะก้าวไปเป็นรัฐมนตรีทำให้ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติ สำหรับผมเห็นว่าการเป็นส.ส.และรัฐมนตรีในเวลาเดียวกันก็เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ เพราะเมื่อตัวเองเป็นส.ส. ก็ต้องมีหน้าที่ออกกฎหมาย แต่ขณะเดียวกันก็ไปสวมหมวกเป็นรัฐบาลที่จะออกมาเพื่อประโยชน์แก่ตัวเองอีก การใช้อำนาจ ๒ อย่างในเวลาเดียวกันก็ทำให้เกิดปัญหา
คำถาม ไม่กลัวถูกมองว่าสนับสนุนระบอบประธานาธิบดีหรือ
คำตอบ มันอาจจะคล้ายกัน แต่อยากให้เรียกว่า เป็นนวัตกรรมใหม่ทางการเมืองดีกว่า เพื่อจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดี กรณีสหรัฐอเมริกาลองสังเกตดูว่า การเลือก ส.ส. ของคนอเมริกันมีแนวโน้มว่า เขาจะเลือกผู้สมัครคนละพรรคกับประธานาธิบดี เพื่อให้เกิดการตรวจสอบซึ่งกันและกัน แนวคิดที่ผมอยากเห็นการปฏิรูปการเมืองในลักษณะนี้ก็คงต้องกลับไปทำให้คนไทยฉลาดขึ้น การปฏิรูปการศึกษาจึงต้องเดินควบคู่ไปกับการปฏิรูปการเมืองใหม่ ผมไม่รู้ว่าถูกหรือผิด แต่ก็คิดเองว่าน่าจะถูกและดีกว่าสิ่งที่ปฏิบัติกันอยู่ในขณะนี้ ซึ่งมีแต่ความสิ้นหวัง เป็นแผ่นเสียตกร่องซ้ำแล้วซ้ำอีก เรารู้อยู่แล้วว่าสิ่งที่ทำอยู่มันมุ่งสู่ความฉิบหายแค่ไหน ก็น่าจะมาลองแนวทางใหม่กันบ้าง./
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น