หัวหน้าศาลในฝันของข้าพเจ้า (ภาค ๒ )
โดย....นายนิรมิต
หลังจากผมได้เล่าความฝันต่อท่านผู้อ่านเมื่อคราวก่อน (วารสาร “ศาลยุติธรรม” ปีที่ ๖ ฉบับที่ ๓ เมษายน – พฤษภาคม ๒๕๔๙ ) ผมก็พยายามนอนหลับฝันถึงผู้อาวุโสอีก แต่ท่านก็ไม่ยอมมาเข้าฝันซักที จนกระทั่งต้นปีที่ผ่านมา ผมจึงฉุกคิดได้ว่า กว่า ๒ ปี แล้วซินะที่ผมไม่ได้มีโอกาสพาครอบครัวไปเที่ยวพักผ่อนในต่างจังหวัดเลย วัน ๆมัวขลุกอยู่กับงาน วุ่นอยู่กับตำราตัวหนังสือ เพราะกำลังศึกษาต่อและสอนหนังสือด้วย การดำเนินชีวิตในแต่ละวันเป็นเสมือนดั่งหุ่นยนต์ ตื่นแต่เช้าเข้าไปเติมอาหารในห้องครัว ถึงที่ทำงานก็นั่งอยู่ในห้องสี่เหลี่ยม จนกระทั่งเที่ยงวันจึงเดินไปเติมอาหารที่โรงอาหารของศาล แล้วกลับไปนั่งทำงานในห้องสี่เหลี่ยมต่อ ตกตอนเย็นก็เดินทางกลับบ้าน กว่าจะถึงก็เกือบมืดค่ำทุกวัน เพราะรถติด เสาร์-อาทิตย์ ก็ต้องไปเรียนและสอนหนังสืออีก จะหาเวลาออกกำลังกายหรือหาความบันเทิงเริงใจบ้างก็แทบจะไม่มี น้ำหนักตัวดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นทุกวัน ซึ่งตรงข้ามก็เส้นผมที่เริ่มจะลดน้อยลงเรื่อย ๆ ตรวจสุขภาพประจำปีเมื่อเดือนก่อนก็ปรากฏว่า มีปัญหาทั้งความดัน คอเรสเตอรอล และระดับน้ำตาลในเลือด เข้าใจว่า ผู้อาวุโสคงจะเกรงใจ อยากให้ผมได้มีโอกาสนอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มที่ จึงไม่เข้าไปรบกวนในฝัน
ด้วยความคิดถึงผู้อาวุโสเป็นอย่างมาก อีกทั้ง ยังคิดว่า น่าจะหาเวลาพักผ่อนเสียบ้าง เพราะหากไม่ดูแลรักษาสุขภาพจิต สุขภาพกายให้ดี ก็เกรงว่า จะไม่มีโอกาสได้อำนวยความยุติธรรมให้กับประชาชนจนถึงอายุ ๗๐ ปี ต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา ผมจึงตัดสินใจพาครอบครัวไปพักผ่อนต่างจังหวัดอย่างกะทันหัน โดยไม่ได้เตรียมการณ์วางแผนไว้ล่วงหน้า การเดินทางจึงค่อนข้างจะฉุกละหุกพอสมควร เนื่องจากเกรงว่าจะไม่ได้พบท่านอาวุโส ผมจึงตัดสินใจเลือกไปเที่ยวป่าอีกครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้ ไม่ได้ไปที่เดิม โดยไปนอนที่วนอุทยานเล็ก ๆแห่งหนึ่ง ในจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งเพื่อนของผมทำงานอยู่ที่นั่น
ตอนแรกผมตั้งใจจะนอนเพียง ๒ คืน แต่เมื่อเวลาผ่านพ้นไป ปรากฏว่า ผู้อาวุโสก็ไม่ยอมมาเข้าฝัน ผมจึงตัดสินใจนอนต่ออีก ๑ คืน โดยก่อนนอนได้นั่งสมาธิตั้งจิตอธิษฐานขอให้ได้พบท่าน ซึ่งในที่สุด ก็ไม่ผิดหวัง แต่กว่าท่านจะมาก็เข้าใจว่า คงเกือบรุ่งสาง เพราะมีความรู้สึกว่า ได้พูดคุยกับท่านไม่นานนักก็สะดุ้งตื่น และสว่างแล้ว ทันทีที่พบกันผมก็รีบยกมือไหว้แสดงความเคารพ จากการสังเกตดูเหมือนว่ารูปร่างหน้าตาของท่านแทบจะไม่เปลี่ยนแปลงเลย รวมทั้งบุคลิกท่าทางที่เคร่งขรึม แต่แฝงไว้ด้วยความอ่อนโยนมีเมตตาก็ยังคงเป็นอยู่เหมือนเดิม ประโยคแรกที่ท่านพูดทักผมก็คือ “ เหนื่อยไหม” จากนั้นท่านก็ยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยแล้วพูดต่อว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้จะดำรงคงอยู่ได้ต้องมีความสมดุล ดวงอาทิตย์ โลก ดวงจันทร์ รวมทั้งดวงดาวต่าง ๆในจักรวาล ที่มีอายุยืนยาวนับแสนนับล้านปี ก็เนื่องมาจากตั้งอยู่ในภาวะที่สมดุล สิ่งมีชีวิตทั้งหลายในโลกนี้ ที่สามารถดำรงคงเผ่าพันธุ์สืบเนื่องต่อกันมาได้ โดยไม่สูญพันธ์ก็เนื่องมาจาก การปรับตัวให้สอดคล้องสมดุลกลมกลืนกับธรรมชาติ ชีวิตของคนเราก็เช่นกัน เราต้องพยายามจัดระเบียบชีวิตให้เกิดความสมดุลอยู่เสมอ เริ่มตั้งแต่การจัดการกับชีวิตส่วนตัว เป็นต้นว่า ในเรื่องของการกิน อยู่ หลับ นอน การออกกำลังกาย การทำงาน ฯลฯ การจัดการเกี่ยวกับเรื่องครอบครัว รวมตลอดถึงการปฏิสัมพันธ์กับสังคมภายนอก สิ่งต่าง ๆเหล่านี้ เราต้องจัดสรรปันส่วนให้เหมาะสมลงตัว ให้สอดคล้องสัมพันธ์กับเงื่อนไขปัจจัยต่าง ๆของชีวิตเราให้มากที่สุด หากเมื่อใดสุขภาพกาย – สุขภาพจิต เรามีปัญหา หากวันใดครอบครัวเรามีแต่เรื่องทะเลาะขัดแย้งกันและหากเวลาใดเรารู้สึกว่า เบื่อที่ทำงาน เบื่อหน่ายสังคม ไม่อยากพบปะพูดคุยกับใคร นั่นย่อมหมายความว่า จุดใดจุดหนึ่งในชีวิตของเรากำลังขาดความสมดุล เราต้องพยายามค้นหาต้นเหตุแห่งปัญหาให้เจอ แล้วรีบเยียวยาแก้ไขเสียแต่เนิ่น ๆก่อนที่จะสายเกินแก้ ขณะที่ผมพยักหน้าแสดงท่าทีตอบรับในทำนองเห็นด้วยกับคำพูดของท่าน ผู้อาวุโสก็รีบพูดต่อว่า “ดีแล้วล่ะ ที่หาเวลามาพักผ่อนเสียบ้าง ทำงานมากไป เดี๋ยวจะเสียศูนย์เอา ”
หลังจากได้โอภาปราศรัยและสอบถามสารทุกข์สุกดิบกันพอสมควร ท่านอาวุโสก็บอกว่า วันนี้ท่านคงไม่มีเวลาอยู่พูดคุยมากนัก เนื่องจากท่านมีปัญหาเรื่องสุขภาพเล็กน้อย ต้องไปจัดสมดุลชีวิตด้วยการเพิ่มเวลาพักผ่อนให้มากขึ้น จากนั้นท่านก็ถามผมว่า ดูแววตาแล้ว เหมือนจะมีอะไรสงสัยค้างคาใจ อยากจะสอบถามหรือ ผมจึงรีบตอบกลับท่านว่า ใช่ครับ ผมยังติดใจสงสัยเกี่ยวกับปัญหาบทบาทภาระหน้าที่ของหัวหน้าศาลที่พูดไว้เมื่อคราวก่อน แล้วผมก็รีบพูดต่อโดยไม่รอให้ท่านถามอีกว่า อีกประมาณ ๑ - ๒ ปี คาดว่า ผมคงจะได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าศาล ตอนนี้ผมมีโครงการต่าง ๆที่คิดจะวางแผนบริหารพัฒนางานของศาลอยู่ในหัวมากมายหลายเรื่อง โดยคิดว่า หากเป็นหัวหน้าศาลเมื่อใด ก็จะเริ่มต้นทำในทันที เพราะเห็นว่า เวลาประมาณ ๓ - ๔ ปี ในตำแหน่งหัวหน้าศาลนั้น ถือว่าสั้นมาก จึงอยากจะใช้เวลาให้เป็นประโยชน์อย่างคุ้มค่ามากที่สุด แต่สิ่งที่ผมเป็นกังวลในขณะนี้ก็คือ โครงการต่าง ๆที่ผมคิดวางแผนไว้นั้น แทบทุกเรื่องจะต้องมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงระบบหรือวิธีการทำงานที่แตกต่างไปจากเดิมค่อนข้างมาก ผมจึงเกรงว่า แนวความคิดในการเปลี่ยนแปลงของผมจะถูกคนในองค์กรต่อต้าน หรือไม่ให้ความร่วมมือ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น ผมคงรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก จึงอยากจะขอคำแนะนำจากท่านอาวุโสว่า เราจะมีวิธีการอย่างไร ที่จะทำให้ผู้ร่วมงานส่วนใหญ่ให้การยอมรับและให้ความร่วมมือสำหรับการริเริ่มเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งใหม่ ๆ ต่อไปนี้คือ คำแนะนำของผู้อาวุโสที่ให้ไว้ต่อผม
ผู้อาวุโสได้เกริ่นนำว่า ในโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน สิ่งที่แน่นอนที่สุดคือความไม่แน่นอน และไม่มีอะไรที่แน่นอน นอกจากการเปลี่ยนแปลง องค์กรจะพัฒนาได้ต้องมีการเปลี่ยนแปลง เพราะองค์กรต้องปฏิสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมต่าง ๆที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา จึงเป็นภาระหน้าที่ของนักบริหารที่จะต้องคอยปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงองค์กรให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ทั้งนี้ เพื่อความอยู่รอดและประสิทธิผลขององค์กร กฎเกณฑ์กติกาทั้งหลายที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันนั้น ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดีอย่างไร เมื่อกาลเวลาผ่านไปย่อมหลีกหนีไม่พ้นกฎแห่งการเปลี่ยนแปลง ปัญหาก็คือว่า เราจะพัฒนาองค์กรและบริหารการเปลี่ยนแปลงองค์กรอย่างไร เพื่อให้การเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นไปอย่างราบรื่นและประสบผลสำเร็จตามเป้าหมายที่ต้องการ
ผู้อาวุโสได้พูดอธิบายต่อไปว่า เกี่ยวกับเรื่องการพัฒนาและการเปลี่ยนแปลงองค์กรนั้น มีหลักการแนวคิดและเทคนิควิธีการต่าง ๆมากมาย แต่ที่น่าสนใจ มีดังนี้ คือ
๑.) โดยทั่วไปแล้วองค์กรจะประกอบด้วยตัวแปรที่สำคัญอยู่ ๔ ประการ
คือ งาน (Task) โครงสร้าง (Structure) เทคโนโลยี (Technology) และมนุษย์ในองค์กร (People) ทั้งนี้ ตัวแปรทั้ง ๔ ตัว จะมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันอย่างแยกกันไม่ออก การเปลี่ยนแปลงตัวแปรใดตัวแปรหนึ่งจะมีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงตัวแปรอื่นตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงตัวแปรใดตัวแปรหนึ่งอย่างโดด ๆโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงตัวแปรอื่น ๆนั้น จะไม่มีหลักประกันของความสำเร็จเลย แนวทางการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญมากที่สุด คือ การมุ่งเน้นการเปลี่ยนแปลงหรือปรับปรุงพฤติกรรมของมนุษย์ในองค์กร ซึ่งรวมถึง ทัศนคติ ค่านิยม ความสัมพันธ์ระหว่างกัน ทักษะ และความสามารถด้วย เหตุที่กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของมนุษย์ในองค์กรสำคัญที่สุดก็เพราะว่า การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของมนุษย์จะเป็นเงื่อนไขในเบื้องต้นที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงงาน โครงสร้าง และเทคโนโลยีในทางสร้างสรรค์ขึ้นมา หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การเปลี่ยนแปลงมนุษย์ในองค์กรจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงปัจจัยอื่น ๆตามมาด้วย ดังจะเห็นว่า ทัศนคติใหม่ ๆของบุคลากรที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงขึ้นมานั้นจะเป็นตัวกระตุ้นให้พวกเขาคิดจะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างและเทคโนโลยีให้ดีขึ้นตามมานั่นเอง ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมมนุษย์จึงถือเป็นหัวใจสำคัญของการเปลี่ยนแปลงองค์กรเลยทีเดียว ทั้งนี้ แนวทางในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของมนุษย์ในองค์กรจะ มีอยู่ ๓ ขั้นตอน คือ
ขั้นตอนที่ ๑ การละลายพฤติกรรม คือ การพยายามเปลี่ยนแปลงทัศนคติหรือความเชื่อแบบเก่าให้หมดไปเพื่อนำไปสู่การเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆขึ้นมา มีหลักการสำคัญคือ การให้ข้อมูลกับสมาชิกในองค์กร เพื่อทราบถึงปัญหาต่าง ๆที่เกิดขึ้น ชี้ให้เห็นถึงข้อดีข้อเสีย และความจำเป็นในการเปลี่ยนแปลง ซึ่งบางครั้งอาจมีมาตรการลงโทษผู้ที่ไม่เต็มใจเปลี่ยนแปลงและให้รางวัลแก่ผู้ที่ให้ความร่วมมือ
ขั้นตอนที่ ๒ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม คือ การทำให้สมาชิกในองค์กรได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆที่มีคุณค่าต่อการเปลี่ยนแปลงองค์กร ทำให้สมาชิกยอมรับและเต็มใจให้ความร่วมมือกับการเปลี่ยนแปลง
ขั้นตอนที่ ๓ การทำให้พฤติกรรมใหม่ดำรงอยู่อย่างมั่นคง ขั้นตอนนี้ถือว่าเป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก เพราะหากสามารถทำให้พฤติกรรมใหม่ดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงจะมีผลทำให้พฤติกรรมใหม่พัฒนาขึ้นมากลายเป็นปทัสถานใหม่ (New Norm) ขององค์กร ซึ่งท้ายที่สุดก็คือประสิทธิผลของการเปลี่ยนแปลงองค์กรนั่นเอง
๒.) ในทุกการเปลี่ยนแปลงนั้น จะมีสมาชิกส่วนหนึ่งต่อต้านการเปลี่ยนแปลงเสมอ โดยเฉพาะสมาชิกที่มีความรู้สึกว่า การเปลี่ยนแปลงอาจมีผลกระทบต่อตนเองในทางลบ การต่อต้านอาจมีทั้งลักษณะที่เปิดเผยและลักษณะที่ซ่อนเร้น โดยสาเหตุของการต่อต้านการเปลี่ยนแปลงจะประกอบด้วย ๓ สาเหตุใหญ่ คือ
ประการแรก คือ ความกลัวในสิ่งที่ไม่แน่นอน
ประการที่สอง คือ กลัวว่าจะเกิดผลกระทบต่อผลประโยชน์หรือสถานภาพเดิม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของผลกระทบด้านอำนาจ ฐานะตำแหน่ง เศรษฐกิจ ความสัมพันธ์ทางสังคม ภาพพจน์ส่วนบุคคล นิสัยหรือความเคยชิน เป็นต้น
ประการที่สาม คือ สมาชิกในองค์กรรู้ว่าการเปลี่ยนแปลงจะก่อให้เกิดปัญหาขึ้นมา โดยเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงจะทำให้เกิดปัญหามากกว่าที่จะเป็นผลดีต่อองค์กร จึงต่อต้านการเปลี่ยนแปลงเพื่อพิทักษ์ผลประโยชน์ขององค์กร ดังนั้น การต่อต้านองค์กรจึงไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายเสมอไป หากเป็นการต่อต้านที่มีลักษณะสมเหตุสมผลก็จะเป็นพลังสร้างสรรค์ ซึ่งผู้บริหารควรที่จะให้ความสนใจ และนำข้อเสนอหรือข้อคัดค้านจากพลังสร้างสรรค์เหล่านั้นไปเป็นแนวทางในการปรับปรุงการเปลี่ยนแปลงให้ดียิ่งขึ้นต่อไป
สำหรับกลยุทธ์ในการเอาชนะการต่อต้านการเปลี่ยนแปลงนั้น ผู้อาวุโสบอกว่ามีอยู่หลายวิธีการ ได้แก่
ประการแรก การสร้างความเชื่อถือ (Trust) - ผู้บริหารหรือผู้ที่มีบทบาทในการเป็นตัวนำในการเปลี่ยนแปลงจะต้องเป็นบุคคลที่สมาชิกในองค์กรให้ความเชื่อถือไว้วางใจ เพราะหากสมาชิกให้ความเคารพศรัทธาแล้ว การยอมรับ เชื่อฟัง หรือเห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลงก็จะเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น
ประการที่สอง การให้การศึกษาและการติดต่อสื่อสาร (Education and Communication) - บ่อยครั้งที่การต่อต้านการเปลี่ยนแปลงเกิดจาก สมาชิกขององค์กรไม่เข้าใจหรือเข้าใจผิดในเหตุผลของการเปลี่ยนแปลง ดังนั้น จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างระบบการติดต่อสื่อสารที่มีประสิทธิภาพเพื่อถ่ายทอดข้อมูลให้กับสมาชิกได้อย่างทั่วถึง แต่สิ่งที่พึงตระหนักก็คือ ข้อมูลนั้น ต้องเป็นข้อมูลที่ถูกต้องด้วย
ประการที่สาม การมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลง (Participation) - การให้สมาชิกในองค์กรมีส่วนร่วมจะทำให้เกิดความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลงได้อย่างแท้จริง เหตุผลเพราะว่า การมีส่วนร่วมจะทำให้สมาชิกมีความรู้สึกผูกพันกับการเปลี่ยนแปลง เห็นว่าตัวเองก็เป็นส่วนหนึ่งที่ได้สร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆให้กับองค์กร ตัวเองมีความสำคัญ ไม่ได้ถูกมองข้ามหรือละเลย และที่สำคัญยังทำให้เขาได้มีโอกาสเรียนรู้และเข้าใจเหตุผลและความจำเป็นในการเปลี่ยนแปลงองค์กรได้เป็นอย่างดีด้วย
ประการที่สี่ การพยายามรักษาประเพณีที่เป็นประโยชน์ไว้ (Attempt to Maintain Useful Customs) - การเปลี่ยนแปลงองค์กรมักจะมีผลกระทบต่อประเพณีหรือวัฒนธรรมขององค์กรที่มีอยู่เดิม ซึ่งสร้างความเคยชินในการปฏิบัติงานให้กับสมาชิก การเปลี่ยนแปลงจึงมักจะทำให้สมาชิกบางส่วนไม่มากก็น้อยรู้สึกไม่พึงพอใจและเกิดการต่อต้านขึ้นมา ดังนั้น หากเป็นไปได้ ในการเปลี่ยนแปลงเรื่องใด ๆควรจะคำนึงถึงประเพณีวัฒนธรรมที่มีอยู่เดิมด้วย หากเห็นว่าเรื่องใดยังดีมีประโยชน์ก็ควรพยายามรักษาไว้
ประการที่ห้า การเปลี่ยนแปลงเฉพาะสิ่งจำเป็น (Make Only Necessary Change) - การเปลี่ยนแปลงองค์กรนั้น ไม่ใช่เปลี่ยนเพราะอยากจะเปลี่ยน และไม่ใช่เป็นความปรารถนาของคนใดคนหนึ่ง หากแต่การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นเพราะเป็นความจำเป็นขององค์กรที่จะต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอดหรือประสิทธิผลขององค์กร ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงจึงต้องเป็นไปตามสถานการณ์ที่จำเป็น และเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่องค์กรอย่างแท้จริง ไม่ใช่มุ่งเพื่อสร้างผลงานของผู้บริหารหรือเพื่อประโยชน์ของบุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นสำคัญ
ประการที่หก สร้างหลักประกันว่าจะไม่เกิดความสูญเสีย (Guarantee against Loss) - การเปลี่ยนแปลงองค์กรนั้น บางครั้ง อาจทำให้สมาชิกบางคนกลัวว่า จะมีผลทำให้ตนเองได้รับผลกระทบในทางลบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของผลประโยชน์ต่าง ๆที่เคยได้รับ ความก้าวหน้า ลักษณะหรือปริมาณงานที่รับผิดชอบ เป็นต้น ดังนั้น ผู้บริหารต้องสร้างหลักประกันว่า สิ่งต่าง ๆเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นกับตัวเขา หรือหากจะเกิดขึ้นก็ต้องพยายามชี้ให้เขาเห็นว่า สิ่งอื่น ๆที่จะได้มาแทนจากการเปลี่ยนแปลงมีประโยชน์และคุ้มค่ามากกว่าสิ่งที่สูญเสียไป
ประการที่เจ็ด การให้รางวัลตอบแทน (Supplementary Reward) - นอกจากการให้หลักประกันว่า สมาชิกจะไม่สูญเสียสถานภาพเดิมของเขาแล้ว ยังอาจใช้วิธีให้รางวัลเพื่อให้สมาชิกให้ความเต็มใจที่จะร่วมมือในการเปลี่ยนแปลงก็ได้
ประการที่แปด การให้คำปรึกษา (Provide Counseling) - ผู้นำการเปลี่ยนแปลงต้องคอยให้คำปรึกษา พร้อมกับการสร้างมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีกับสมาชิกในองค์กรและสร้างบรรยากาศที่เป็นมิตรภาพต่อกัน โดยอาจจัดให้มีการฝึกอบรมเพื่อสร้างทักษะหรือความสามารถใหม่ขึ้นมาก็ได้
ประการที่เก้า การใช้เล่ห์เหลี่ยมและการดึงเข้ามาเป็นพวก (Manipulation and Co-optation) - หมายถึง การที่ผู้บริหารพยายามจะหาวิธีการแยกสลายบุคคลหรือกลุ่มอย่างลับ ๆเพื่อไม่ให้มีการรวมตัวกันต่อต้านขึ้นมา ซึ่งอาจใช้วิธีการปล่อยข่าวลือ การชักจูง การซื้อตัวหัวหน้ากลุ่มด้วยการให้ตำแหน่งหรือบทบาทที่สำคัญในกระบวนการเปลี่ยนแปลง เป็นต้น แต่การใช้กลยุทธ์ที่ไม่มีความยุติธรรมเช่นนี้ หากสมาชิกในองค์กรทราบถึงความไม่จริงใจของผู้บริหารแล้ว อาจจะทำให้การต่อต้านการเปลี่ยนแปลงเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมก็ได้
ประการที่สิบ การเจรจาต่อรอง (Negotiation) - หากพลังการต่อต้านเป็นพลังที่แข็งแกร่งและเหนียวแน่น ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่ควรจะนำกลยุทธ์วิธีการเจรจาต่อรองมาใช้
ประการสุดท้าย การใช้วิธีการบังคับ (Coercion) การใช้วิธีนี้น่าจะเป็นทางเลือกสุดท้าย และต้องใช้ในกรณีที่มีความจำเป็นจริง ๆเท่านั้น และต้องระมัดระวังในการใช้เป็นพิเศษ เพราะอาจนำไปสู่การต่อต้านอย่างรุนแรงเพิ่มมากขึ้นก็เป็นได้ และที่สำคัญจะไม่มีหลักประกันที่จะทำให้เกิดการสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องได้เลย หลักการปกครองของเล่าจื๊อ ที่เรียกว่า วิถีแห่งเต๋า ได้กล่าวไว้ว่า การปกครองที่ดีที่สุด คือ ประชาชนไม่รู้ว่าถูกปกครอง รองลงมาคือ การปกครองที่ประชาชนสรรเสริญ การปกครองลำดับที่สาม คือ การปกครองที่ประชาชนหวาดกลัว และการปกครองที่แย่ที่สุด คือ การปกครองที่ประชาชนรังเกียจ แน่นอนว่า การปกครองโดยวิธีการบังคับนั้นย่อมไม่ใช่การปกครองที่ดีที่สุดหรือเป็นการปกครองที่ผู้ถูกปกครองสรรเสริญอย่างแน่นอน
ทั้งนี้ กลยุทธ์ในการเอาชนะการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ทุกวิธีการ การจะใช้วิธีการหรือกลยุทธ์แบบไหนโดยทั่วไปมักขึ้นอยู่กับสถานการณ์และสภาพความเป็นจริงขององค์กรนั้น ๆ แต่อย่างไรก็ตามโดยหลักการแล้ว ควรจะใช้แนวทางในทางบวกมากกว่าทางลบ เพราะการใช้กลยุทธ์ในทางบวกนั้น สามารถสร้างหลักประกันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้อย่างต่อเนื่องและมีผลในระยะยาวมากกว่า
๓.) เงื่อนไขที่จะช่วยทำให้การใช้เทคนิคการพัฒนาหรือเปลี่ยนแปลงองค์กรประสบผลสำเร็จ ได้แก่
๓.๑ ข้อมูลที่เกี่ยวกับปัญหาขององค์กรต้องเป็นข้อมูลที่เชื่อถือได้ มีความสมเหตุสมผลและเพียงพอที่จะชี้ให้เห็นถึงปัญหาที่แท้จริงขององค์กรได้ ทั้งนี้ เพื่อที่จะทำให้การใช้เทคนิคการพัฒนาองค์กรสอดคล้องกับปัญหาหรือความจำเป็นในการเปลี่ยนแปลงได้อย่างไม่ผิดพลาด
๓.๒ ผู้นำในการเปลี่ยนแปลงจะต้องเป็นผู้ที่มีความสามารถในการวิเคราะห์ปัญหาและมีแนวความคิดที่กว้างขวาง เพราะผู้นำจะเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการชี้ให้เห็นถึงปัญหาขององค์กรได้อย่างถูกต้อง ซึ่งจะมีผลต่อการใช้เทคนิคได้อย่างสอดคล้องตามมานั่นเอง
๓.๓ ควรให้สมาชิกในองค์กรในระดับต่าง ๆเข้ามามีส่วนร่วมกับผู้นำในการเปลี่ยนแปลงหรือกำหนดปัญหาและแนวทางในการเปลี่ยนแปลงองค์กรด้วย เพราะสมาชิกองค์กรทุกคนโดยเฉพาะระดับปฏิบัติเป็นผู้สัมผัสกับปัญหาด้วยตัวของเขาเอง จึงถือเป็นแหล่งข้อมูลที่ถูกต้องที่สุด
๓.๔ การใช้เทคนิคการพัฒนาองค์กรเพื่อการเปลี่ยนแปลงสิ่งหนึ่ง ๆในองค์กรนั้น ต้องใช้หลายเทคนิคเข้าช่วย ดังนั้น จึงมีความจำเป็นต้องจัดลำดับความสำคัญก่อนหลังของเทคนิคด้วยว่า เทคนิคไหนเป็นเทคนิคหลักที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงสิ่งนั้นมากที่สุดและเทคนิคไหนเป็นเทคนิคเสริมให้เกิดพลังการเปลี่ยนแปลง
๓.๕ กระบวนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของมนุษย์ในองค์กรจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อสมาชิกในองค์กรมีความเต็มใจหรือสมัครใจที่จะเปลี่ยนแปลงมากกว่าเป็นการบังคับกัน ดังนั้นสิ่งที่ผู้บริหารต้องกระทำคือ ต้องเพิ่มพลังการเปลี่ยนแปลงให้มีพลังมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ต้องพยายามลดการต่อต้านการเปลี่ยนแปลงและพยายามเปลี่ยนพลังที่ต่อต้านเป็นพลังที่ต้องการการเปลี่ยนแปลงให้ได้
สำหรับขั้นตอนวิธีการในการเปลี่ยนแปลงนั้น ผู้อาวุโสบอกว่าโดยปกติแล้วจะมีอยู่ ๔ ขั้นตอน คือ การวินิจฉัยปัญหา (Diagnosis) การวางแผนปฏิบัติการ (Action planning) การปฏิบัติตามแผน (Implementation) และ การประเมินผล (Evaluation) ซึ่งขั้นตอนการประเมินผลนั้น ถือว่าเป็นขั้นตอนที่สำคัญมากขั้นตอนหนึ่ง เพราะการประเมินผลจะทำให้เราทราบว่า โครงการที่ได้เปลี่ยนแปลงไปนั้นประสบผลสำเร็จหรือไม่ สามารถนำไปสู่การแก้ไขปัญหาขององค์กรได้จริงหรือไม่ และมีอุปสรรคปัญหาอะไรบ้าง ต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเรื่องใดอีกหรือไม่ อย่างไร ซึ่งหากเห็นว่า มีเรื่องใดที่สมควรปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นก็จะย้อนกลับไปเริ่มต้นตามขั้นตอนแรกใหม่
ระหว่างที่นั่งฟังผู้อาวุโสพูดอยู่นั้น ผมก็พยายามนึกถึงตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงในเรื่องต่าง ๆของสำนักงานศาลยุติธรรมที่ผ่านมาพร้อมกันไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการพิจารณาคดีต่อเนื่อง การปรับปรุงโครงสร้าง ก.ต. การเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับกฎเกณฑ์กติกาในการโยกย้ายผู้พิพากษา ฯลฯ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงระบบงานของศาลต่าง ๆที่ผมได้เคยทำงานมา แต่ขณะกำลังเหม่อลอย ครุ่นคิด โดยยังไม่ทันที่จะได้คำตอบให้กับตัวเองว่า การเปลี่ยนแปลงทั้งหลายเหล่านั้น มีขั้นตอนวิธีการเป็นไปตามหลักการแนวคิดที่ท่านอาวุโสได้แนะนำหรือไม่ อย่างไร ผมก็ได้ยินเสียงผู้อาวุโสพูดขึ้นว่า “ผมคงต้องกลับแล้วหละ แล้ววันหลังค่อยพบกัน” อย่างไรก็ตาม ก่อนไปท่านได้พูดฝากแง่คิดต่อผมด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ แต่แฝงไว้ด้วยนัยความหมายที่ล้ำลึกกินใจ ซึ่งคำพูดนั้นยังคงก้องอยู่ในหูของผมจนถึงขณะนี้ว่า “ถ้าราต้องการจะเปลี่ยนแปลงอะไร สิ่งแรกที่จะต้องพึงกระทำก่อนคือ การพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเราเองให้ทำในสิ่งที่เห็นว่าถูกต้องดีงามให้ได้เสียก่อน หากยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองในสิ่งที่คิด ในสิ่งที่ตั้งใจไว้ได้ ก็อย่าริคิดการใหญ่ไปเปลี่ยนแปลงคนอื่นเลย ไม่มีทางสำเร็จหรอก เพราะเราจะไม่มีพลังมากพอที่จะผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ และบางครั้ง นอกจากจะเหนื่อยเปล่าแล้ว ยังอาจจะสร้างปัญหาในองค์กรให้ยุ่งยากมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมไปเสียอีก ” จากนั้นท่านก็เดินจากไป พร้อมกันกับที่ผมได้สะดุ้งตื่นขึ้นมาพอดี./
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น