สืบเนื่องจากผู้เขียนได้มีโอกาสเดินทางไปฝึกอบรมหลักสูตร “การไกล่เกลี่ยข้อพิพาท” ณ มหาวิทยาลัยเปปเปอร์ไดน์ ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองลอสแองเจลลิส มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ในช่วงระหว่างวันที่ ๒๕ สิงหาคม - ๔ กันยายน ๒๕๕๒ ที่ผ่านมา ก็ถือว่าได้รับความรู้ ประสบการณ์และก่อให้เกิดแนวความคิดใหม่ ๆขึ้นมาบ้างตามสมควร อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนก็เห็นว่า การที่จะนำเอาองค์ความรู้ของต่างประเทศมาปรับใช้ในบ้านเมืองเรานั้น ต้องพิจารณาใคร่ครวญดูให้ดี คำนึงถึงเงื่อนไขปัจจัยและสิ่งแวดล้อมต่าง ๆที่เกี่ยวข้องอย่างครบถ้วนรอบด้าน หากเรานำมาใช้อย่างไม่ระมัดระวัง บางครั้งบางทีก็อาจก่อให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดีก็เป็นได้ ข้อกังวลห่วงใยของผู้เขียนดังกล่าว ไม่ได้คิดขึ้นมาอย่างเลื่อนลอย ไร้เหตุผล แต่มีนักคิด นักปราชญ์ มีผู้รู้ที่สังคมให้การยอมรับนับถือหลายท่านเคยให้แง่คิดมุมมองและเตือนสติไว้ในที่ต่าง ๆมากมายหลายแห่ง ในที่นี้ ขอหยิบยกคำกล่าวของท่านเจ้าคุณพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตโต) มาอ้างอิง ดังนี้ คือ [3]
“ ...เราต้องรู้จักตนเอง ซึ่งหมายถึงว่า ต้องรู้จักวัฒนธรรมของตัวเอง โดยเฉพาะในแง่ที่ว่าอะไรเป็นคุณค่าที่แท้จริง อะไรเป็นสิ่งที่ควรปรับเปลี่ยนแก้ไข ควรทิ้ง หรือควรเสริมเพิ่มขึ้นมา ในแง่ของวัฒนธรรมอื่น ก็ต้องรู้จักว่าที่เขาเจริญนั้นเป็นอย่างไร แยกแยะวิเคราะห์ออกดูว่า ส่วนไหนแน่ที่เป็นความเจริญ กันส่วนอื่นที่ไม่เป็นความเจริญออกไป อะไรเป็นความเสื่อมท่ามกลางภาพของความเจริญนั้น และสืบค้นว่าอะไรเป็นเหตุปัจจัยของความเจริญ อะไรเป็นเหตุปัจจัยของความเสื่อมนั้น ๆของเขา ไม่ใช่เห็นวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามา เมื่อยอมรับกันหรือนิยมกันแล้วว่า อันนี้เป็นวัฒนธรรมของประเทศที่เจริญแล้ว ก็ต้องว่าดีและรับเอาไปเสียทั้งหมด ซึ่งจะกลายเป็นว่าไม่ได้ใช้สติปัญญากันเลย...”
ในช่วงที่มีการร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับปี พ.ศ. ๒๕๕๐ ผู้เขียนเคยได้ยินได้ฟังนักวิชาการหลายท่านวิพากษ์วิจารณ์และคัดค้านในประเด็นเกี่ยวกับการให้ศาลมีอำนาจเสนอร่างพระราชบัญญัติต่อสภาผู้แทนราษฎรได้ ซึ่งส่วนใหญ่ท่านเหล่านั้นมักจะให้ความเห็นเพียงสั้น ๆว่า “ จากการตรวจสอบไม่ปรากฏว่า มีประเทศใดในโลกที่ให้อำนาจศาลทำเช่นนั้นได้ ” โดยไม่ได้ให้เหตุผลประกอบเลยว่า การให้ศาลมีอำนาจดังกล่าว ไม่ถูกต้องเหมาะสมหรือก่อให้เกิดผลเสียหายอย่างไร อันเป็นตัวอย่างหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงสภาพปัญหาของสังคมไทยที่มักจะไม่เชื่อมั่นในภูมิปัญญาแนวคิดของคนไทยด้วยกันเอง ในทางตรงกันข้ามกลับไปให้ความสำคัญกับแนวความคิดความเห็นของผู้คนในต่างประเทศมากยิ่งกว่า สิ่งไหนที่เขาทำเขามีก็มักจะคิดว่า เป็นสิ่งที่ถูกต้องดีงาม ควรเอาแบบอย่างปฏิบัติตาม แต่ถ้าเขายังไม่ทำไม่มีก็มักจะสันนิษฐานไว้ก่อนว่า น่าจะมีปัญหา หากใครคิดริเริ่มเสนอขึ้นมาก็จะคัดค้านทันที โดยไม่ได้คิดศึกษาตรวจสอบเพื่อให้รู้เขา – รู้เรา อย่างถ่องแท้ชัดเจนเสียก่อน ผู้เขียนเห็นว่า ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีจุดเริ่มต้นเสมอ แล้วทำไมเราไม่แสดงความเป็นผู้นำด้วยการคิดริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆขึ้นมา และให้คนอื่นเขาเดินตามบ้างล่ะ ทำไมต้องคอยเดินตามคนอื่นเขาอยู่ร่ำไป
จากเหตุผลดังที่กล่าวมา หลังกลับจากการฝึกอบรม ผู้เขียนจึงคิดตั้งโจทก์ไว้ในใจว่า เราจะนำเอาองค์ความรู้จากต่างประเทศมาปรับใช้กับองค์ความรู้ที่มีอยู่ในบ้านเมืองเราให้เหมาะสมลงตัวและมีประสิทธิภาพสูงสุดได้อย่างไร ต่อไปนี้ เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ผู้เขียนพยายามคิดค้นขึ้นมา โดยนำเอาหลักการแนวคิดแห่งศาสนาพุทธมาทดลองปรับใช้กับองค์ความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมาจากการฝึกอบรม จะถูก จะผิด จะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยอย่างไร ขอท่านผู้อ่านได้โปรดช่วยกันวิเคราะห์ วิจารณ์ดูก็แล้วกันนะครับ
ก่อนอื่นขอกล่าวถึงสถานที่ที่ผู้เขียนและคณะไปฝึกอบรมกันก่อนสักเล็กน้อย หน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบโครงการฝึกอบรม ได้แก่ สถาบันระงับข้อพิพาทสเตราส์ ( Straus Institute of Dispute Resolution ) ซึ่งอยู่ในความดูแลของคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเปปเปอร์ไดน์ ( Pepperdine University School of Law ) จากผลงานที่ผ่านมา ปรากฏว่า สถาบันดังกล่าว ได้รับการจัดอันดับให้เป็นสถาบันศึกษาด้านการระงับข้อพิพาทอันดับหนึ่งของสหรัฐอเมริกาถึงห้าปีติดต่อกัน อีกทั้ง จากข้อมูลที่ได้รับทราบจากวิทยากร เคยมีคณะบุคคลผู้สนใจงานด้านการไกล่เกลี่ยจากหลายประเทศพากันไปศึกษาดูงานที่นั่นจำนวนมาก ดังนั้น จึงน่าจะถือได้ว่าสถาบันระงับข้อพิพาทสเตราส์ เป็นแหล่งเรียนรู้เรื่องการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในระดับสากลแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุผลที่มาประการหนึ่งสำหรับการคิดตั้งชื่อเรื่องบทความนี้
ต่อไปผู้เขียนขอสรุปเนื้อหาสาระเกี่ยวกับรูปแบบแนวทางในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทตามหลักสูตรที่ได้เข้ารับการฝึกอบรมมา พอสังเขป ดังนี้ คือ [4]
หลักการแนวคิดเบื้องต้นเกี่ยวกับการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทที่ได้รับการกล่าวอ้างถึง คือ แนวคิดของศาสตราจารย์ Leonard Riskin แห่งคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย โดย Riskin ได้แยกแยะแนวทางหรือมิติในการทำงานของผู้ไกล่เกลี่ยไว้ คือ
มิติแรก - การกำหนดแนวทางในการทำงานแบบแคบ ( Narrow Orientation ) และแบบกว้าง (Broad Orientation )
ผู้ไกล่เกลี่ยที่มีแนวทางในการทำงานแบบแคบจะมีสมมุติฐานว่า คู่พิพาทต้องการให้ช่วยเหลือแก้ไขปัญหาเฉพาะทางเทคนิคหรือข้อกฎหมายเป็นหลัก ซึ่งโดยปกติแล้วประเด็นปัญหาดังกล่าวมักจะมีการวางกรอบแนวคิดไว้ก่อนแล้วโดยทนายความหรือที่ปรึกษาของคู่พิพาท ผู้ไกล่เกลี่ยจะคิดว่า ตนมีหน้าที่เพียงคาดการณ์ว่า ใครจะเป็นผู้แพ้หรือผู้ชนะตามข้อมูลที่มีอยู่หากให้ศาลตัดสิน หรือน่าจะช่วยประสานประโยชน์ระหว่างคู่พิพาทได้อย่างไรเท่านั้น ขณะที่ผู้ไกล่เกลี่ยที่มีแนวทางการทำงานแบบกว้างจะมองไปไกลกว่าประเด็นปัญหาข้อกฎหมายที่คู่พิพาทนำมาให้พิจารณา โดยจะดูว่ามีผลประโยชน์พื้นฐานอื่น ๆที่น่าจะเป็นทางออกที่สร้างสรรค์และทำให้ได้ผลลัพธ์อันเป็นที่พอใจแก่คู่กรณีทุกฝ่ายอีกหรือไม่ ตัวอย่างเช่น ประเด็นในแง่ของจิตใจ ความสัมพันธ์ ศาสนา วัฒนธรรม ประเพณี ฯลฯ เป็นต้น
มิติที่สอง - การกำหนดแนวทางในการทำงานแบบประเมินผล (Evaluative) และแบบผู้สนับสนุน (Facilitative)
ผู้ไกล่เกลี่ยที่เน้นการทำงานแบบประเมินผล มักจะเข้าใจว่า คู่พิพาทอยากได้ความเห็นของผู้ไกล่เกลี่ยที่จะช่วยประเมินว่า ทางออกเช่นใดจึงจะเป็นธรรมหรือน่าจะเหมาะสมแก่กรณี ดังนั้น ผู้ไกล่เกลี่ยแบบนี้จึงมีแนวโน้มที่มักจะแสดงความคิดความเห็น ชี้ให้เห็นจุดอ่อนจุดแข็งของแต่ละฝ่าย รวมทั้งพยายามเสนอหาทางออกให้คู่พิพาทอยู่ตลอดเวลาในช่วงของการไกล่เกลี่ย ขณะที่ผู้ไกล่เกลี่ยซึ่งมีแนวทางการทำงานแบบผู้สนับสนุน มักจะหลีกเลี่ยงการให้ความเห็นใด ๆเกี่ยวกับความชอบธรรมหรือทางออกที่ควรจะเป็นในข้อพิพาทและจะไม่กำหนดกรอบการวินิจฉัยปัญหาให้คู่พิพาทพิจารณา แต่จะพยายามส่งเสริมให้มีการสื่อสารระหว่างคู่พิพาทให้มากที่สุด แล้วให้คู่พิพาทตัดสินใจหาทางออกร่วมกันเอง
เมื่อนำแนวทางทั้งสองมิติมาวิเคราะห์รวมกัน ก็พอสรุปได้ว่า ลักษณะบทบาทของผู้ไกล่เกลี่ยจะมีอยู่ ๔ แบบ คือ
๑.) แบบประเมินผลอย่างแคบ ( Evaluative Narrow ) บทบาทที่ผู้ไกล่เกลี่ยแสดงออก คือ
- กระตุ้นหรือผลักดันให้คู่กรณียอมรับกรอบข้อตกลงที่จำกัด (ตามจุดยืนของแต่ละฝ่าย)
- ปรับปรุงและเสนอข้อตกลงอย่างแคบ (ตามจุดยืนของแต่ละฝ่าย)
- คาดการณ์ผลของคดีหากขึ้นสู่ศาล
- ประเมินจุดแข็งจุดอ่อนของข้อเรียกร้องตามกฎหมาย
๒.) แบบประเมินผลอย่างกว้าง ( Evaluative Broad ) บทบาทที่ผู้ไกล่เกลี่ยแสดงออก คือ
- กระตุ้นหรือผลักดันให้คู่กรณียอมรับกรอบข้อตกลง (ตามส่วนได้เสียของแต่ละฝ่าย )
- ปรับปรุงและเสนอข้อตกลงอย่างกว้าง (ตามส่วนได้เสียของแต่ละฝ่าย )
- คาดการณ์ผลกระทบต่อส่วนได้เสียของคู่กรณีหากไม่ยอมตกลงกัน
- ตรวจสอบส่วนได้เสียของคู่กรณี
๓.) แบบสนับสนุนอย่างแคบ (Facilitative Narrow) บทบาทที่ผู้ไกล่เกลี่ยแสดงออก คือ
- ช่วยคู่กรณีตรวจสอบข้อเสนอของแต่ละฝ่าย
- ช่วยคู่กรณีปรับปรุงข้อเสนออย่างแคบ (ตามจุดยืนของแต่ละฝ่าย )
- สอบถามคู่กรณีถึงผลกระทบหากไม่ตกลงกัน
- สอบถามคู่กรณีถึงแนวโน้มผลของคดีหากขึ้นสู่ศาล
- สอบถามจุดแข็งและจุดอ่อนของข้อเรียกร้องตามกฎหมาย
๔.) แบบสนับสนุนอย่างกว้าง (Facilitative Broad) บทบาทที่ผู้ไกล่เกลี่ยแสดงออก คือ
- ช่วยคู่กรณีตรวจสอบข้อเสนอของแต่ละฝ่าย
- ช่วยคู่กรณีปรับปรุงข้อเสนออย่างกว้าง (ตามส่วนได้เสียของแต่ละฝ่าย )
- ช่วยคู่กรณีปรับปรุงทางออกหรือทางเลือก
- ช่วยคู่กรณีทำความเข้าใจทางเลือกต่าง ๆและส่วนได้เสียของแต่ละฝ่าย
- เน้นการพูดคุยถึงส่วนได้เสียที่แท้จริง รวมถึงผลกระทบทางสังคม
อนึ่ง พึงมีข้อสังเกตว่า ในทางปฏิบัติที่เป็นจริงนั้น อาจมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบแนวทางตามช่วงจุดต่าง ๆของการไกล่เกลี่ยได้ ทั้งนี้ทั้งนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับสถานการณ์และเงื่อนไขปัจจัยต่าง ๆที่เกี่ยวข้องในแต่ละกรณี เช่น ลักษณะของประเด็นปัญหา ความรู้ ความเข้าใจ หรือความต้องการของคู่กรณี ความรู้ความเชี่ยวชาญของผู้ไกล่เกลี่ยเกี่ยวกับประเด็นปัญหา ข้อจำกัดในเรื่องของเวลา ฯลฯ เป็นต้น บางครั้งบางทีผู้ไกล่เกลี่ยบางคนอาจเริ่มต้นด้วยการไกล่เกลี่ยแบบสนับสนุนอย่างกว้าง แต่ไปจบที่แบบประเมินผลอย่างแคบก็เป็นได้ นอกจากนั้น ยังมีข้อสังเกตที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งคือ สำหรับผู้ไกล่เกลี่ยที่เป็นผู้พิพากษานั้น แนวโน้มส่วนใหญ่มักจะถนัดเป็นผู้ไกล่เกลี่ยแบบประเมินผลอย่างแคบมากกว่า ซึ่งในข้อนี้ก็คงจะไม่แตกต่างจากบ้านเรามากนัก
สำหรับแนวทางของสถาบันระงับข้อพิพาทสเตราส์นั้น จะเน้นบทบาทของผู้ไกล่เกลี่ยแบบสนับสนุนเป็นสำคัญ โดยมีกระบวนการขั้นตอนที่เป็นจุดขายของสถาบันเรียกว่า “ การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทแบบ STAR ” ( The STAR Approach to Facillitated Conflict Resolution ) ดังปรากฏตามตาราง
ขั้นตอน (Stage) | ภาระงาน (Task) (ทำอะไร ) | การดำเนินการ(Action) (ทำอย่างไร ) | ผลลัพธ์ (Result) |
๑.) การพบปะกัน (Convening) | - จัดการให้คู่พิพาทได้พบกัน - สร้างความเชื่อมั่น ความไว้วางใจให้คู่พิพาทในการเข้าสู่กระบวนการ | - โทรศัพท์ติดต่อ - มีหนังสือแจ้งไป - การนัดพบคู่พิพาท - ชี้แจงทำความเข้าใจ | ความเต็มใจ (Willingness) |
๒.) การเริ่มกระบวนการ (Opening) | - สร้างบรรยากาศในเชิงบวก - ลดความตึงเครียด ความวิตก กังวล อารมณ์โกรธ ไม่พอใจ - สร้างความร่วมมือในการไกล่เกลี่ย | - จัดสถานที่และบรรยากาศให้เหมาะสม - แนะนำตัวและกล่าวเปิดอย่างสร้างสรรค์ น่าเชื่อถือ - ชี้แจงขั้นตอนกระบวนการและเงื่อนไขกติกาให้ชัดเจน | ความมั่นใจและความหวัง (Safety & Hope ) |
๓.) การสื่อสาร(communicating) | - ทำให้เกิดการสื่อสารสองทางที่มีประสิทธิภาพและสร้างสรรค์ - กระตุ้นให้คู่พิพาทพูดหรือระบายความในใจ - ส่งเสริมให้คู่พิพาทพยายามฟัง ทำความเข้าใจ และแสดงให้เห็นว่าเข้าใจความคิดของอีกฝ่าย | - การฟังอย่าง ตั้งใจ - การใช้ภาษากาย - การพูดซ้ำ - การใช้คำพูดใหม่ - การสรุป - การขยายความ - การตั้งคำถาม | การแสดงออกและความเข้าอกเข้าใจ ( Expression & Understanding ) |
๔.) การเจรจา (Negotiating) | - แยกแยะประเด็นความสัมพันธ์ออกจากประเด็นเนื้อหาสาระที่พิพาท (แยกอารมณ์ออกจากปัญหา) - ค้นหาประเด็นข้อพิพาทและความต้องการที่แท้จริง -ระดมความเห็น สร้างข้อเสนอเพื่อหาทางออก | - การประชุมร่วมกัน (Joint session ) - การประชุมฝ่ายเดียว (Caucus session ) - การต่อรองแบบแยกส่วน (Distributive Bargaining ) - การต่อรองแบบกลุ่ม ( Integrative Bargaining ) | การยืดหยุ่น และการสร้างสรรค์ ( Flexibility & Innovation ) |
๕.) การสรุป (Closing) | - ตรวจสอบข้อเสนอและทางเลือกทั้งหมด - ตัดสินใจหาทางออกที่ดีที่สุด ด้วยความสมัครใจ - สร้างข้อตกลงที่สมบูรณ์(จัดการทุกประเด็น ลดโอกาสข้อพิพาทในอนาคต ชัดเจนแน่นอน ไม่ผิดกฎหมาย ปฏิบัติได้จริง ) | - ใช้หลักเกณฑ์อ้างอิงที่เป็นภาวะวิสัย - ชี้ให้เห็นข้อดี – ข้อเสีย โดยละเอียด ทุกแง่มุม - ให้คู่พิพาทตัดสินใจเอง - ช่วยเหลือแนะนำการทำข้อตกลง | การตัดสินใจอย่างเข้าใจรอบด้าน ( Informed Decision ) |
ที่กล่าวมาก็เป็นสาระสำคัญโดยสรุปพอสังเขป เพียงเพื่อให้เห็นกระบวนการขั้นตอนในภาพรวม สำหรับนำไปปรับวิเคราะห์ตามโจทก์ที่ผู้เขียนตั้งไว้ข้างต้นเท่านั้น ต่อไปเรามาดูแนวทางการจัดการความขัดแย้งหรือข้อพิพาทตามหลักการแห่งศาสนาพุทธในบ้านเรากันบ้างว่า มีกระบวนการขั้นตอนเป็นอย่างไร
แน่นอนว่าเมื่อพูดถึงคำว่า ความขัดแย้งหรือข้อพิพาท ย่อมหมายถึง “ความทุกข์” ของคู่กรณี และเมื่อพูดถึงคำว่า ทุกข์ พุทธศาสนิกชนทั้งหลายย่อมนึกถึงคำว่า “อริยสัจสี่” ซึ่งเป็นหลักหรือระบบใหญ่ที่ครอบคลุมกระบวนการในการแก้ไขปัญหาทั้งมวล ซึ่งในการนำหลักอริยสัจสี่ไปปรับใช้กับกระบวนการแก้ไขปัญหานั้น ท่านเจ้าคุณพระพรหมคุณาภรณ์ ได้ยกตัวอย่างเปรียบเทียบกับการแก้ไขปัญหาเรื่องไฟไหม้ไว้อย่างน่าสนใจ ดังนี้ คือ [5]
๑.) ทุกข์ คือ ไฟไหม้ ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิต ร่างกายและทรัพย์สิน
๒.) สมุทัย คือ การสืบสาวหาเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดทุกข์ ซึ่งกรณีไฟไหม้นี้ จะเห็นได้ว่า มีเหตุปัจจัยที่ทำให้ไฟลุกไหม้ตามกระบวนการของธรรมชาติ คือ เชื้อเพลิง ก๊าซออกซิเจน และมีอุณหภูมิที่สูงพอ
๓.) นิโรธ คือ การเล็งจุดหมายหรือตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนว่า เราจะดับไฟโดยสอดคล้องกับกฎเกณฑ์ตามเหตุปัจจัยแห่งธรรมชาติได้อย่างไร ทั้งนี้ จะต้องสัมพันธ์กับความจริงและวิสัยของเราที่จะทำได้ด้วย กล่าวคือ เราจะเอาข้อให้ไม่มีออกซิเจน ทำให้อุณหภูมิต่ำ หรือจะให้ไม่มีเชื้อเพลิง หรือเอาทั้งสามอย่าง เอาข้อไหนเด่น ข้อไหนรอง
๔.) มรรค คือ วิธีการหรือหนทางในการจัดการดับทุกข์ เป็นขั้นตอนของการวางวิธีปฏิบัติเพื่อทำให้เกิดผลตามที่ตั้งจุดหมายไว้ในข้อนิโรธ ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่และมีรูปแบบวิธีการต่าง ๆมากมาย เช่น ต้องจัดซื้อรถดับเพลิง มีถังเก็บน้ำ ท่อสายยาง บันได การฝึกฝนพนักงานดับเพลิงให้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญและความพร้อมในการทำงาน เป็นต้น
หากเทียบเคียงกับตัวอย่างดังกล่าว ถ้าเรานำเอาหลักอริยสัจสี่มาปรับใช้กับการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทก็น่าจะเป็นว่า
๑.) ทุกข์ คือ ปัญหาข้อพิพาทหรือความขัดแย้งระหว่างคู่กรณี ซึ่งก่อให้เกิดความเครียด ความสูญเสียในเรื่องของเวลา ค่าใช้จ่าย โอกาส และประโยชน์ต่าง ๆมากมาย
๒.) สมุทัย คือ เหตุปัจจัยที่ก่อให้เกิดข้อพิพาทหรือความขัดแย้ง ซึ่งเมื่อสืบสาวลงไปก็จะพบว่า มีรายละเอียดปลีกย่อยมากมาย แต่เมื่อพูดครอบคลุมอย่างกว้าง ๆ จะมีสาเหตุหลักอยู่ที่กิเลสของมนุษย์ ๓ ประการ คือ [6]
๒.๑ ตัณหา คือ ความอยากได้ใคร่มีเพื่อตัวเอง ความเห็นแก่ตัว แสวงหาผลประโยชน์ในรูปแบบต่าง ๆไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สิน เงินทอง หรือ สิ่งบำรุงบำเรอตนเองทั้งหลายทั้งปวง
๒.๒ มานะ คือ ความอยากเด่นเป็นใหญ่ อยากมีอำนาจวาสนา มีเกียรติยศชื่อเสียง ปรารถนาจะครอบงำผู้อื่น
๒.๓ ทิฏฐิ คือ ความยึดติดในความเชื่อ ลัทธิ ศาสนา หรือแนวคิดอุดมการณ์ที่ยึดมั่นถือมั่นไว้ ไม่ยอมรับฟังความคิด ความเห็นของคนอื่น ก่อทัศนคติแบบแบ่งแยก
ตัณหา –มานะ – ทิฏฐิ เป็นตัวการทำให้เกิดอกุศลมูล คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง และทำให้เกิดความกลัว ความหวาดระแวง ความไม่ไว้ใจกัน ท้ายที่สุด ความขัดแย้งก็จะตามมา
๓.) นิโรธ คือ การเล็งจุดหมายหรือตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนว่า เราต้องการสิ่งใด จะจัดการกับเหตุปัจจัยในข้อใดบ้าง และประเมินว่าจะทำได้แค่ไหน เพียงใด ซึ่งสำหรับการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทนั้น เป้าหมายสูงสุด น่าจะได้แก่ การทำให้ข้อพิพาทยุติลงได้ในลักษณะก่อให้เกิดสันติสุขหรือประสานสอดคล้องกลมกลืนเข้าด้วยกันอย่างลงตัว (harmonize) หมายถึงว่า การทำให้คู่กรณีทั้งสองฝ่ายเป็นผู้ชนะ สามารถแก้ไขปัญหาข้อพิพาทได้อย่างเบ็ดเสร็จสมบูรณ์ ด้วยการทำให้คู่พิพาทเข้าใจตนเองและคู่กรณี รู้แจ้งเห็นจริงถึงเหตุแห่งทุกข์ คือ พิษภัยของ ตัณหา มานะ และ ทิฏฐิ สามารถขจัดอกุศลมูล โลภะ โทสะ โมหะ ออกจากจิตใจได้ทั้งหมด ทำให้คู่พิพาทมองเห็นประโยชน์ที่ยั่งยืนหรือจุดหมายใหญ่ที่อยู่เหนือขึ้นไปอันเป็นประโยชน์ร่วมกันของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
สำหรับเป้าหมายรองลงมา น่าจะได้แก่ การทำให้ข้อพิพาทยุติลงได้ด้วยการประนีประนอมหรือประสานผลประโยชน์ในลักษณะพบกันครึ่งทาง หรือ ถอยกันคนละก้าว (Compromise) หมายถึงว่า กรณีไม่สามารถทำให้ข้อพิพาทยุติลงตามเป้าหมายสูงสุดได้ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องพยายามทำให้คู่พิพาทลดความต้องการหรือจุดยืนในเรื่องตัณหา มานะ ทิฏฐิ ของตนให้อยู่ในระดับที่สามารถยอมรับกันได้
ส่วนประเด็นปัญหาที่ว่าเราจะจัดการกับเหตุปัจจัยใดได้บ้าง และจะทำได้แค่ไหน เพียงใด นั้น เห็นว่า เราต้องวิเคราะห์แยกแยะให้ได้ว่า ปัญหาข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้นในแต่ละกรณีมีต้นเหตุมาจากเหตุปัจจัยข้อใดบ้าง ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว ส่วนใหญ่ความขัดแย้งทั้งหลายมักจะเกิดจากทั้งเรื่องของตัณหา มานะ ทิฏฐิ รวมกัน แต่อาจมีน้ำหนักมากน้อยต่างกัน เมื่อทราบต้นสายปลายเหตุที่ชัดเจนแล้ว จึงค่อยวางแผนแก้ไขปัญหาให้ตรงจุด และประเมินเป้าหมายที่สามารถทำได้ให้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด
๔.) มรรค คือ วิธีปฏิบัติหรือเทคนิควิธีการในการดำเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในข้อนิโรธ ซึ่งในหลักพระพุทธศาสนามีแนวทางคำสอนมากมายที่สามารถนำไปปรับใช้เป็นเครื่องมือเพื่อช่วยเหลือสนับสนุนให้การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทประสบผลสำเร็จ เช่น หลักศีล ๕ ศีล ๘ หลักพรหมวิหาร ๔ อิทธิบาท ๔ สังคหวัตถุ ๔ อปริหานิยธรรม ๗ สัปปุริสธรรม ๗ อคติ ๔ ทศพิศราชธรรม ฯลฯ เป็นต้น
จากรูปแบบแนวทางในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทแบบ STAR ของสถาบันระงับข้อพิพาทสเตราส์ แห่งมหาวิทยาลัยเปปเปอร์ไดน์ดังกล่าวข้างต้น เมื่อนำมาปรับวิเคราะห์กับหลักอริยสัจสี่แห่งศาสนาพุทธ ก็จะเห็นได้ว่า กระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทแบบ STAR ก็คือ ขั้นตอนตามหลักอริยสัจสี่ที่เรียกว่า มรรค นั่นเอง ดังนั้น การที่เราจะนำกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทแบบ STAR มาปรับใช้ให้ได้ผลและเกิดประสิทธิภาพสูงสุดได้ จึงต้องมีความรู้ความเข้าใจในกระบวนการแก้ไขปัญหาตามวิธีการแห่งอริยสัจอย่างถ่องแท้ลึกซึ้งด้วย
ตัวอย่างเช่น การค้นหาความต้องการที่แท้จริง (Interest) ของคู่พิพาทนั้น แท้จริงแล้วก็คือ การค้นหากิเลสของคู่พิพาท คือ ตัณหา ทิฏฐิ มานะ นั่นเอง ซึ่งโดยหลักการแล้ว เมื่อเราทราบถึงกิเลสความต้องการของคู่พิพาท ก็ต้องพยายามหาวิธีขจัดกิเลสเหล่านั้นให้ออกไปจากจิตใจคู่พิพาทให้ได้ ทั้งนี้ เพื่อให้การไกล่เกลี่ยประสบผลสำเร็จตามเป้าหมายสูงสุดถึงขั้น harmonize หรือมิฉะนั้นก็ต้องพยายามลดกิเลสของคู่พิพาทให้น้อยลง จนอยู่ในขั้นที่สามารถ compromise กันได้ดังกล่าวข้างต้น ซึ่งในข้อนี้ ดูเหมือนว่า แนวคิดของฝรั่งจะแตกต่างจากบ้านเรา กล่าวคือ เหตุผลที่เขาพยายามค้นหาความต้องการที่แท้จริงของคู่พิพาทก็เพื่อจะได้คิดหาวิธี “สนองกิเลส” ความต้องการของคู่พิพาทให้ตรงจุด ไม่ได้มีเจตนาเพื่อมุ่ง “ลดกิเลส” เหมือนของเรา ดังนั้น หากจะวิเคราะห์กันด้วยเหตุด้วยผลแล้ว เชื่อว่า คงเป็นไปได้ยากที่กระบวนการไกล่เกลี่ยของฝรั่งจะบรรลุผลสำเร็จถึงขั้น harmonize ได้ เพราะโจทก์ของเขาคือ ใครควรจะได้อะไร จำนวนเท่าไหร่และจะทำอย่างไรให้ทุกฝ่ายได้มากกว่าเสีย ขณะที่โจทก์ของเรา คือ คู่กรณีทุกฝ่ายควรจะร่วมกันเสียสละเรื่องอะไรได้บ้าง จำนวนเท่าไหร่ อย่างไร แม้ว่าถึงที่สุดแล้ว ก็มีนัยยะความหมายเดียวกัน คือ การทำให้สมประโยชน์สูงสุดตามความต้องการของคู่พิพาท แต่ก็เห็นว่า หลักการแนวคิดของเราน่าจะเป็นแนวทางที่สร้างสรรค์และก่อให้เกิดประโยชน์ที่สมบูรณ์ ยั่งยืน และสร้างสันติสุขที่แท้จริงได้มากยิ่งกว่า
เกี่ยวกับเรื่อง harmonize และ compromise นี้ ท่านเจ้าคุณพระพรหมคุณาภรณ์ ได้ตั้งข้อสังเกตไว้อย่างลึกซึ้งน่าสนใจ ซึ่งผู้เขียนเห็นว่า นอกจากจะนำไปปรับใช้กับเรื่องการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทแล้ว ยังน่าจะนำไปประยุกต์ใช้กับการแก้ไขปัญหาทางการเมืองที่ยุ่งยากวุ่นวายอยู่ในขณะนี้ได้เป็นเป็นอย่างดีด้วย โดยท่านได้แสดงทรรศนะไว้ดังนี้ คือ [7]
“ การประนีประนอมนี้เป็นเรื่องพิเศษของอารยธรรมตะวันตก เพราะอารยธรรมตะวันตกนั้น เจริญมากับการแข่งขัน เขาถนัดและนิยมติดอยู่ในระบบแข่งขัน เพราะฉะนั้นตะวันตกก็จะเคยชินหรือสะสมมาในระบบการแก้ไขปัญหาแบบ compromise ......หมายความว่า แต่ละฝ่ายยอมลดความต้องการของตนเพื่อให้ต่างฝ่ายต่างก็ได้ ......โดยต่างก็ต้องยอมเสียบางส่วนเพื่อให้ต่างก็ได้บางส่วน ......เหมือนกับที่ฝรั่งพูดว่า ได้ขนมปังครึ่งก้อนดีกว่าไม่ได้เลย ........
อีกวิธีการหนึ่งเรียกว่า harmonize ( n.= harmony ) คือ การที่มาประสานกลมกลืนเข้าด้วยกัน หมายความว่า ไม่มีหรือไม่เหลือความขัดแย้ง เมื่อมีความขัดแย้งก็จัดจนกระทั่งลงตัว ที่มาลงตัวก็คือมันเข้ากันได้ดี ทุกอย่างประสานกลมกลืนโดยองค์ร่วมต่าง ๆอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องและมีความสัมพันธ์ที่ถูกต้องของมัน พร้อมทั้งทำหน้าที่ถูกต้องต่อกัน ส่งต่อประสานกันได้ดี ........
ปัญหาในโลกปัจจุบันก็อยู่ที่ว่า มนุษย์ไม่สามารถมาถึงจุด hamony แต่มาได้แค่ compromise การแก้ปัญหาจึงขาดตกบกพร่อง ไม่มั่นคงยั่งยืน และไม่แท้ไม่จริง เพราะ compromise คือ ต่างฝ่ายต่างยอมลดความต้องการของตัวเองลงเพื่อตัวเองจะได้บ้าง มิฉะนั้นอาจจะต้องรบราฆ่าฟันกัน ซึ่งอาจจะพินาศทั้ง ๒ ฝ่าย คือ ไม่ได้ทั้ง ๒ ฝ่าย หรือฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดได้ไปข้างเดียว ซึ่งเป็นวิถีแห่งความขัดแย้ง
เมื่อจะยุติความขัดแย้งและยอมที่จะได้อย่างไม่สมบูรณ์ มันก็ไม่ยุติจริง แต่ทิ้งปัญหาหรือเชื้อแห่งปัญหาค้างคาไว้ เหมือนยอมตกลงสงบศึกไว้ก่อน นี่คือ compromise ซึ่งไม่สามัคคี และไม่อาจจะมีเอกภาพ แต่ถ้ายุติเรื่องโดยสมบูรณ์ก็ต้องถึง hamony ซึ่งทำให้เกิดสามัคคีและเป็นเอกภาพ ”
ขอย้อนกลับไปพิจารณาประเด็นเรื่อง “ การค้นหาความต้องการที่แท้จริง” อีกครั้งหนึ่ง ผู้เขียนเห็นว่า สิ่งสำคัญสูงสุดประการหนึ่งในกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทตามแนวทางวิถีแห่งพุทธก็คือ ในเบื้องต้นผู้ไกล่เกลี่ยเองก็ต้องพึงเข้าใจและตระหนักถึงความต้องการที่แท้จริงของตนเองอย่างถูกต้องด้วยว่า จุดประสงค์หลักหรือความต้องการที่แท้จริงอันดับแรกของผู้ไกล่เกลี่ยก็คือ ประโยชน์สูงสุดของคู่พิพาทในการที่จะสามารถตกลงกันได้ภายใต้เงื่อนไขที่ดีที่สุด ทำให้เขาพ้นจากความทุกข์ยากลำบาก ฟื้นฟูความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ฯลฯ ส่วนประโยชน์ของผู้ไกล่เกลี่ย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของผลงาน ค่าตอบแทน เกียรติยศ ชื่อเสียง การไม่ต้องทำสำนวนคดี ฯลฯ ต้องถือว่า เป็นเป้าหมายอันดับรองลงมา หมายความว่า ผู้ไกล่เกลี่ยต้องรู้เท่าทันกิเลสในใจตน ไม่ไปตกหลุมพรางของตัณหา มานะ ทิฏฐิ เสียเอง ซึ่งในเรื่องนี้นโยบายของสำนักงานศาลยุติธรรมและนโยบายแนวคิดของผู้บริหารแต่ละศาลย่อมมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยหากมีการกำหนดเป้าหมายหรือประเมินผลงานด้วยการมุ่งเน้นสถิติ- ตัวเลข เป็นสำคัญ ไม่พิจารณาเนื้อหาของงานในรายละเอียดอย่างมีเหตุผล ย่อมส่งผลกระทบถึงความต้องการที่แท้จริงของผู้ไกล่เกลี่ยที่อาจผิดเพี้ยน บิดผันไปได้ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น ก็ต้องถือว่า ล้มเหลวตั้งแต่ต้น เพราะแม้แต่ผู้ไกล่เกลี่ยเองก็ยังไม่เข้าใจถึงความต้องการที่แท้จริงของตนได้อย่างถูกต้อง แล้วจะไปช่วยเหลือค้นหาความต้องการที่แท้จริงให้กับคู่พิพาทได้อย่างไร
ท้ายที่สุดนี้ ผู้เขียนขอแสดงทรรศนะเป็นบทสรุปส่งท้ายว่า ผู้เขียนเห็นว่า แท้จริงแล้วสังคมไทยเราไม่ได้มีปัญหาเรื่องการขาดแคลนองค์ความรู้เลย แต่ปัญหาของเราคือ ศักยภาพในการจัดการกับองค์ความรู้ที่มีอยู่เพื่อนำไปปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เปรียบเสมือนยารักษาไข้ คนไทยมีองค์ความรู้เกี่ยวกับเรื่องสมุนไพรแต่ละตัวที่ใช้รักษาอาการไข้เป็นอย่างดี แต่เราไม่ได้ศึกษาวิจัยค้นคว้ากันอย่างจริงจังว่า เราจะกินปริมาณเท่าไหร่ ก่อนหรือหลังอาหาร เอาตัวไหนผสมกับตัวไหน สัดส่วนอย่างไร หรือ จะมีวิธีสกัดตัวยาออกมาอย่างไรให้มีประสิทธิภาพสูงสุด กล่าวเฉพาะเรื่องการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทนั้น แท้จริงแล้วสังคมไทยเราได้สั่งสมองค์ความรู้มาอย่างยาวนานนับร้อยนับพันปี ตั้งแต่ชนชั้นระดับรากหญ้าจนถึงรากแก้วของต้นไม้ใหญ่ที่เป็นหลักของบ้านเมือง แต่เราก็ไม่ได้คิดนำเอาองค์ความรู้เหล่านั้น มาปรับใช้อย่างเป็นระบบหรือมีขั้นตอนกระบวนการที่ชัดเจน จนกระทั่งฝรั่งทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง เราจึงคิดอยากทำตามบ้าง ผู้เขียนขอยืนยันว่า องค์ความรู้ที่ได้ข้ามน้ำข้ามทะเลไปร่ำเรียนถึงประเทศสหรัฐอเมริกานั้น ไม่มีอะไรใหม่เลย เป็นสิ่งที่รับรู้กันอยู่ทั่วไปในสังคมไทย เพียงแต่ว่า เขานำเอาองค์ความรู้เหล่านั้นไปจัดเข้ากันให้เป็นระเบียบระบบ เป็นขั้นเป็นตอนอย่างชัดเจน ทำให้สามารถหยิบนำไปใช้ได้โดยสะดวก ง่ายดาย และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และเมื่อกรณีใดมีปัญหาไกล่เกลี่ยไม่สำเร็จ เขาก็สามารถค้นหาสาเหตุได้ไม่ยากว่า เกิดข้อผิดพลาดตรงขั้นตอนไหน อย่างไร ทำให้คิดหาหนทางแก้ไขปัญหาได้ตรงจุดและก่อให้เกิดการพัฒนาระบบให้ดียิ่ง ๆขึ้นไป ดังนั้น ผู้เขียนจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ในอนาคตอันไม่ช้าไม่นานนี้ สังคมไทยเราน่าจะสามารถคิดค้นหาสูตรยาพาราเซตตามอนตำหรับไทย เพื่อนำไปใช้รักษาอาการป่วยไข้ของคู่กรณีในกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทได้อย่างมีประสิทธิภาพไม่ด้อยไปกว่าสูตรยายี่ห้อ STAR ของฝรั่งหรือดีกว่า ซึ่งเมื่อถึงวันนั้น เราก็อาจจะมีโอกาสได้เป็นฝ่ายต้อนรับเจ้าหน้าที่ของสถาบันระงับข้อพิพาทสเตราส์หรือผู้พิพากษาจากประเทศสหรัฐอเมริกาที่เข้ามาศึกษาดูงานเรื่องการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในบ้านเราบ้างก็เป็นได้ ./
[4] สรุปจากเอกสารประกอบการฝึกอบรมหลักสูตร “การไกล่เกลี่ยข้อพิพาท” ณ มหาวิทยาลัยเปปเปอร์ไดน์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ ๒๕ สิงหาคม - ๔ กันยายน ๒๕๕๒
[5] พระพรหมคุณาภรณ์ (ปอ.ปยุตโต). “สลายความขัดแย้ง” http://www.openbase.in.th/node/8622 , หน้า ๓๑ - ๓๒
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น