โดย...โสต สุตานันท์
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๓๙ บัญญัติว่า “ ถ้าบุคคลใดซึ่งจะเป็นทายาทตามมาตรา ๑๖๒๙ (๑) (๓) (๔) และ (๖) ถึงแก่ความตาย หรือถูกกำจัดมิให้รับมรดกก่อนเจ้ามรดกตาย ถ้าบุคคลนั้นมีผู้สืบสันดานก็ให้ผู้สืบสันดานรับมรดกแทนที่ ถ้าผู้สืบสันดานคนใดของบุคคลนั้นถึงแก่ความตายหรือถูกกำจัดมิให้รับมรดกเช่นเดียวกัน ก็ให้ผู้สืบสันดานของผู้สืบสันดานนั้นรับมรดกแทนที่และให้มีการรับมรดกแทนที่กันเฉพาะส่วนแบ่งของบุคคลเป็นราย ๆสืบต่อกันเช่นนี้ไปจนหมดสาย ” จากบทบัญญัติดังกล่าว มีปัญหาสำคัญประการหนึ่งซึ่งมีการถกเถียงกันมานานแล้วว่า สิทธิในการรับมรดกแทนที่ของทายาทที่ถูกกำจัดมิให้รับมรดกนั้น จะมีได้เฉพาะกรณีถูกกำจัดมิให้รับมรดกก่อนเจ้ามรดกตาย หรือมีสิทธิรับมรดกแทนที่ได้ทั้งกรณีถูกกำจัดก่อนและถูกกำจัดหลังเจ้ามรดกตาย ซึ่งที่ผ่านมามีความเห็นที่แตกต่างกัน ๓ ความเห็น พอสรุปได้ คือ
ความเห็นแรก เห็นว่า แม้มาตรา ๑๖๓๙ จะบัญญัติไว้ว่า ทายาทที่จะถูกรับมรดกแทนที่ได้จะต้องเป็นทายาทที่ถึงแก่ความตายหรือถูกกำจัดมิให้รับมรดกก่อนเจ้ามรดกตายเท่านั้น แต่มาตรา ๑๖๐๗ ก็บัญญัติให้ผู้สืบสันดานของผู้ถูกกำจัดมิให้รับมรดกมีสิทธิสืบมรดกต่อไป ซึ่งเป็นการบัญญัติไว้กว้าง ๆ ดังนั้น จึงถือเสมือนว่า มาตรา ๑๖๐๗ เป็นบทยกเว้นมาตรา ๑๖๓๙ ผู้สืบสันดานของทายาทที่ถูกกำจัดมิให้รับมรดกจึงมีสิทธิเข้ารับมรดกแทนที่ได้ไม่ว่าทายาทนั้นจะถูกกำจัดมิให้รับมรดกก่อนหรือหลังเจ้ามรดกตายก็ตาม ทั้งนี้ ได้ยกตัวอย่างสนับสนุนความเห็น คือ การถูกกำจัดมิให้รับมรดกก่อนเจ้ามรดกตายบางกรณี เช่น ฆ่า หรือพยายามฆ่า เจ้ามรดก ตาม มาตรา ๑๖๐๖(๑) ถือเป็นเรื่องที่ร้ายแรงมากกว่าการถูกกำจัดไม่ให้รับมรดกหลังเจ้ามรดกตาย อันเนื่องมาจากการปิดบังหรือยักย้ายทรัพย์มรดก ตามมาตรา ๑๖๐๕ ดังนั้น จึงไม่มีเหตุผลใดที่จะห้ามมิให้ ผู้สืบสันดานของทายาทที่ถูกกำจัดมิให้รับมรดกหลังเจ้ามรดกตาย มิให้มีสิทธิรับมรดกแทนที่ได้
ความเห็นที่สอง เห็นว่า เมื่อมาตรา ๑๖๓๙ ได้บัญญัติถึงสิทธิในการรับมรดกแทนที่ไว้เป็นการเฉพาะอย่างชัดเจนแล้ว ก็ต้องเป็นไปตามตัวบทกฎหมายที่บัญญัติไว้กล่าวคือ การรับมรดกแทนที่จะมีได้ ๒ กรณีเท่านั้น คือ กรณีทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดกตายก่อนเจ้ามรดก และ กรณีทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดกถูกกำจัดมิให้รับมรดกก่อนเจ้ามรดกตาย กรณีทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดกถูกกำจัดมิให้รับมรดกหลังเจ้ามรดกตาย จึงไม่อาจมีการรับมรดกแทนที่ได้
ความเห็นที่สาม เห็นว่า เพื่อความเป็นธรรม ควรปรับใช้กฎหมายโดยหากเป็นการถูกกำจัดมิให้รับมรดกก่อนเจ้ามรดกตายก็ปรับเข้ากับ มาตรา ๑๖๓๙ แต่หากถูกกำจัดมิให้รับมรดกหลังเจ้ามรดกตาย ก็ปรับเข้ากับ มาตรา ๑๖๐๗ ซึ่งก็หมายความว่า ทายาทผู้ถูกกำจัดมิให้รับมรดกสามารถรับมรดกแทนที่ได้ทั้ง ๒ กรณี ไม่ว่าถูกกำจัดมิให้รับมรดกก่อนหรือหลังเจ้ามรดกตาย
ปัญหาเรื่องดังกล่าว ผู้เขียนก็รู้สึกสงสัยมานานแล้วว่า จริง ๆแล้วความเห็นที่ถูกต้องคืออะไร แต่ก็ไม่มีโอกาสได้ศึกษาค้นคว้าอย่างจริงจัง พอดีผู้เขียนได้รับการติดต่อให้เป็นอาจารย์สอนเสริมให้กับนักศึกษาคณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช วิชากฎหมายแพ่ง ๓ (ครอบครัว – มรดก) ประจำภาคการศึกษาที่ ๑/๒๕๔๘ ที่ผ่านมา จึงได้ถือโอกาสศึกษาค้นคว้าและนำประเด็นปัญหาดังกล่าวมาพินิจพิเคราะห์โดยละเอียดอย่างจริงจัง ซึ่งในที่สุดผู้เขียนก็ได้ความเห็นเพิ่มขึ้นมาอีกความเห็นหนึ่ง จึงขอนำเสนอต่อท่านผู้อ่านเพื่อพิจารณาว่า เห็นด้วยหรือไม่ อย่างไร ผู้เขียนขออนุญาตเรียกว่า “ความเห็นที่สี่” ก็แล้วกัน รายละเอียดความเห็นมีดังนี้ คือ
ความเห็นที่สี่ - ผู้เขียนเห็นว่า คำว่า “สืบมรดก” ตาม มาตรา ๑๖๐๗ กับ มาตรา ๑๖๑๕ และ มาตรา ๑๖๑๖ กับคำว่า “การรับมรดกแทนที่” ตาม มาตรา๑๖๓๙ นั้น กฎหมายเขียนแยกกันไว้คนละลักษณะกัน แสดงว่า ต้องการให้มีผลบังคับใช้แตกต่างกัน จากการสังเกต มาตรา ๑๖๐๗ และ มาตรา ๑๖๑๖ จะเห็นว่า กฎหมายบัญญัติไว้ในทำนองเดียวกันว่า ทายาทผู้ถูกตัดมิให้รับมรดกหรือทายาทผู้สละมรดก ไม่มีสิทธิในส่วนทรัพย์สินอันผู้สืบสันดานของตนได้รับมา ในอันที่จะจัดการและใช้ได้ จึงย่อมแสดงให้เห็นอยู่ในตัวว่า ขณะได้รับมรดกมา ทายาทผู้ถูกตัดมิให้รับมรดกหรือทายาทผู้สละมรดกยังไม่ตาย ส่วนตาม มาตรา ๑๖๓๙ นั้น จะเห็นว่า กฎหมายบัญญัติไว้อย่างชัดเจนว่า เมื่อทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดกตายไปแล้ว และใครมีสิทธิจะรับมรดกแทนได้บ้าง ดังนั้น ในความเห็นของผู้เขียน จึงเห็นว่า การสืบมรดก กับ การรับมรดกแทนที่ เป็นคนละเรื่องกัน จะนำมาพิจารณาปะปนกันไม่ได้ ผู้เขียนขอแยกวิเคราะห์ทั้ง ๒ กรณี ดังกล่าว ดังนี้ คือ
๑.) เกี่ยวกับเรื่อง “การสืบมรดก” - จากการตรวจสอบ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๖ ว่าด้วยเรื่องมรดก ได้บัญญัติให้มีการสืบมรดกได้ ๒ กรณี คือ กรณีทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดกถูกกำจัดมิให้รับมรดก ตาม มาตรา ๑๖๐๗ กับ กรณีทายาทสละมรดก ตาม มาตรา ๑๖๑๕ ส่วนการที่ทายาทถูกตัดมิให้รับมรดก กฎหมายไม่ได้บัญญัติให้สืบมรดกได้ ซึ่งจากการสังเกตจะเห็นว่า การถูกกำจัดมิให้รับมรดก กับ การสละมรดก นั้น เป็นเหตุที่เกิดจากการกระทำของทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกเอง ไม่เกี่ยวกับเจตนาของเจ้ามรดกเลย ซึ่งผู้ร่างกฎหมายคงเห็นว่า การกระทำของทายาทนั้นเป็นเรื่องเฉพาะตัว ไม่น่าจะให้มีผลกระทบต่อลูกหลาน คือ พ่อแม่ไม่ดีโดยลูกหลานไม่ได้มีส่วนรู้เห็นเป็นใจด้วยเลย จะให้มารับบาปเคราะห์ด้วยได้อย่างไร ส่วนกรณีการตัดมิให้รับมรดกนั้น จะเห็นว่า เป็นเจตนาของเจ้ามรดกเองที่ประสงค์จะตัดมิให้ทายาทคนนั้น ๆได้รับมรดก ดังนั้น จึงเข้าใจว่า ผู้ร่างคงเคารพเจตนาของเจ้ามรดก (ซึ่งถือว่าเป็นพระเอกของกฎหมายบรรพนี้ ) เพราะเมื่อเจ้ามรดกตัดไม่ให้ทายาทคนใดมีสิทธิได้รับมรดกแล้ว ย่อมแสดงว่า เขาไม่สนใจใยดีครอบครัวนั้นแล้ว กฎหมายจึงไม่ได้บัญญัติให้สืบมรดกกันได้
๒.) เกี่ยวกับเรื่อง “การรับมรดกแทนที่” - ขอแยกวิเคราะห์เป็น ๒ กรณี คือ
กรณีแรก - กรณีไม่มีการถูกกำจัด ถูกตัด หรือการสละมรดกเลย เมื่อทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดกคนใดตาย ผู้สืบสันดานก็มีสิทธิได้รับมรดกแทนที่ไป อันนี้เป็นหลักเกณฑ์ธรรมดา ตรงตามตัวบทไม่มีปัญหาใด
กรณีที่สอง - กรณีมีทายาทถูกกำจัด ถูกตัด หรือสละมรดก ผู้เขียนมีความเห็นว่า โดยสภาพของการถูกกำจัด ถูกตัด หรือ สละ มิให้รับมรดกนั้น ย่อมมีผลเมื่อเจ้ามรดกตายแล้วเท่านั้น เพราะตราบใดที่เจ้ามรดกยังไม่ตายย่อมยังไม่มีกองมรดกเกิดขึ้น กล่าวเฉพาะกรณีการกำจัดมิให้รับมรดกนั้น จริง ๆแล้ว ตาม มาตรา ๑๖๐๕ และ มาตรา ๑๖๐๖ เป็นเพียงเหตุแห่งการถูกกำจัดไม่ให้รับมรดกเท่านั้น ซึ่งบางกรณีก็เกิดขึ้นก่อนเจ้ามรดกตาย บางกรณีก็เกิดภายหลัง แต่ไม่ว่าจะเกิดขึ้นก่อนหรือหลัง ผลของการถูกกำจัดไม่ให้รับมรดก ย่อมเกิดขึ้นภายหลังเจ้ามรดกตายเท่านั้น ดังนั้น การถูกกำจัด ตัด หรือสละมรดกจะมีผลก็ต่อเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า ขณะเจ้ามรดกตาย ผู้ถูกกำจัด ถูกตัด หรือสละมรดกยังมีชีวิตอยู่ หากขณะเจ้ามรดกตาย บุคคลดังกล่าวได้ตายไปก่อนแล้ว ย่อมไม่มีตัวทายาทที่จะให้กำจัด ตัด หรือสละมรดกได้ การพิจารณาจัดแบ่งมรดกก็ต้องยึดหลักธรรมดาทั่วไปเหมือนเช่นกรณีแรก คือ ผู้สืบสันดานของทายาทที่ตายไปแล้ว ย่อมมีสิทธิรับมรดกแทนที่ได้ ซึ่งจะสังเกตเห็นว่า มาตรา ๑๖๓๙ ไม่ได้พูดถึงเรื่อง การสละมรดก หรือ การตัดมิให้รับมรดกไว้เลยว่ารับมรดกแทนที่ได้หรือไม่ สาเหตุก็น่าจะเนื่องมาจากเหตุผลดังที่กล่าวมา เพราะเมื่อทายาทคนนั้นตายไปก่อนแล้ว จะสละหรือถูกตัดไม่ให้รับมรดกได้อย่างไร ตัวอย่างสนับสนุนความเห็นของผู้เขียนที่ชัดเจนที่สุด ก็คือ มาตรา ๑๖๑๙ ซึ่งบัญญัติว่า “ผู้ใดจะสละหรือจำหน่ายจ่ายโอนโดยประการใด ซึ่งสิทธิอันหากจะมีในภายหน้าในการสืบมรดกผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่นั้นไม่ได้” การที่ มาตรา ๑๖๓๙ บัญญัติถึงเรื่องการถูกกำจัดไม่ให้รับมรดกไว้นั้น น่าจะมีสาเหตุเนื่องมาจากว่า การถูกกำจัดไม่ให้รับมรดกนั้น มีสาเหตุหลายประการ บางกรณีก็เกิดก่อนบางกรณีก็เกิดหลังเจ้ามรดกตาย ดังนั้น เพื่อความชัดเจนจึงเขียนเน้นย้ำไปว่า แม้เหตุที่ถูกกำจัดไม่ให้รับมรดกจะเกิดขึ้นก่อนเจ้ามรดกตาย ผู้สืบสันดานของทายาทก็มีสิทธิรับมรดกแทนที่ได้ ส่วนกรณีเหตุที่ถูกกำจัดไม่ให้รับมรดกเกิดขึ้นหลังเจ้ามรดกตายนั้น ก็ย่อมมีความหมายอยู่ในตัวแล้วว่า ขณะเจ้ามรดกตาย ผู้ถูกกำจัดไม่ให้รับมรดกยังมีชีวิตอยู่ จึงต้องไปพิจารณาเรื่องการสืบมรดกตาม มาตรา ๑๖๐๗ ไม่ใช่เรื่องการรับมรดกแทนที่ นอกจากนั้น ผู้เขียนยังมีเหตุผลสนับสนุนอีกคือ ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๔๑ บัญญัติไว้ว่า “ ถ้าบุคคลใดซึ่งจะเป็นทายาทตามมาตรา ๑๖๒๙ (๒) หรือ (๕) ถึงแก่ความตาย หรือถูกกำจัดมิให้รับมรดกก่อนเจ้ามรดกตาย ถ้ามีทายาทในลำดับเดียวกันยังมีชีวิตอยู่ ก็ให้ส่วนแบ่งทั้งหมดตกได้แก่ทายาทนั้นเท่านั้น ห้ามมิให้มีการรับมรดกแทนที่กันต่อไป ” ซึ่งจะเห็นว่า คำว่า “... ถึงแก่ความตายหรือถูกกำจัดมิให้รับมรดกก่อนเจ้ามรดกตาย...” นั้น เขียนไว้เหมือนกับ มาตรา ๑๖๓๙ และผู้เขียนก็เห็นว่า คำว่า “ถูกกำจัดมิให้รับมรดกก่อนเจ้ามรดกตาย”ในมาตรา ๑๖๔๑ ย่อมมีความหมายเช่นเดียวกันกับมาตรา ๑๖๓๙ ดังที่ผู้เขียนได้ให้ความเห็นไว้ข้างต้น กล่าวคือ หมายถึง เหตุที่ถูกกำจัดมิให้รับมรดกเกิดขึ้นก่อนเจ้ามรดกตาย ไม่ใช่ผลของการถูกกำจัดมิให้รับมรดก เพราะถ้าเราแปลความกฎหมายตามตัวอักษรโดยไม่คำนึงถึงเจตนารมณ์ของกฎหมายโดยแปลความหมายกลับกัน ก็ย่อมแสดงว่า การถูกกำจัดไม่ให้รับมรดกหลังเจ้ามรดกตาย สามารถมีการรับมรดกแทนที่ทายาทลำดับ ๒ และ ๕ ได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
กล่าวโดยสรุปก็คือ ผู้เขียนเห็นว่า “การสืบมรดก” กับ “การรับมรดกแทนที่” เป็นคนละเรื่องกัน การสืบมรดกจะมีได้ ๒ กรณี คือ การถูกกำจัดมิให้รับมรดก ตาม มาตรา ๑๖๐๗ กับ การสละมรดก ตาม มาตรา ๑๖๑๕ ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ ขณะเจ้ามรดกตาย ผู้ถูกกำจัดมิให้รับมรดก หรือผู้สละมรดก ยังมีชีวิตอยู่ ส่วนกรณีถูกตัดมิให้รับมรดกนั้น ไม่สามารถสืบมรดกได้ เพราะกฎหมายไม่ได้บัญญัติไว้ สำหรับ “การรับมรดกแทนที่” นั้น จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ ทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกได้ถึงแก่ความตายไปก่อนเจ้ามรดก และผู้สืบสันดานมีสิทธิรับมรดกแทนที่ได้ทุกกรณี โดยไม่ต้องไปพิจารณาถึงเรื่องการถูกกำจัดไม่ให้รับมรดก การตัดไม่ให้รับมรดกหรือการสละมรดกเลย ทั้งนี้ เนื่องจากโดยสภาพตามความเป็นจริง การถูกกำจัด ถูกตัด หรือการสละมรดก จะมีได้ก็ต่อเมื่อขณะเจ้ามรดกตาย ทายาทผู้ถูกกำจัด ถูกตัดหรือสละมรดกยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งจะต้องไปพิจารณาถึงเรื่องการสืบมรดก ไม่ใช่การรับมรดกแทนที่ดังได้กล่าวไว้ข้างต้น กล่าวเฉพาะการถูกกำจัดไม่ให้รับมรดกนั้น ต้องแปลความหมายในมาตรา ๑๖๓๙ ที่ว่า “ถูกกำจัดไม่ให้รับมรดกก่อนตาย” ว่า หมายถึง เหตุที่ถูกกำจัดมิให้รับมรดก ไม่ใช่ผลของการถูกกำจัดไม่ให้รับมรดก และไม่ว่าเหตุแห่งการถูกกำจัดไม่ให้รับมรดกจะเกิดขึ้นก่อนหรือหลังเจ้ามรดกตาย ผู้สืบสันดานของทายาทเจ้ามรดกย่อมมีสิทธิได้รับมรดกแทนที่ได้ ( จากเหตุผลดังที่กล่าวมาผู้เขียนจึงไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๗๘/๒๕๒๐ ซึ่งวินิจฉัยว่า การที่ผู้สืบสันดานจะมีสิทธิรับมรดกแทนที่ทายาทมีอยู่ ๒ กรณี ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๖๓๙ และไม่มีกฎหมายมาตราใดบัญญัติให้สิทธิแก่ผู้สืบสันดานที่จะเข้าแทนที่การรับมรดกของทายาทโดยธรรมที่ถูกตัดมิให้รับมรดก ดังนั้น เมื่อทายาทโดยธรรมผู้ถูกตัดมิให้รับมรดกตายก่อนเจ้ามรดก ผู้สืบสันดานของทายาทผู้นั้นย่อมไม่มีสิทธิเข้ารับมรดกแทนที่ได้ )
เราต้องไม่ลืมว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของเรามีต้นร่างมาจากกฎหมายต่างประเทศ โดยเฉพาะในส่วนของบรรพ ๖ ว่าด้วยมรดกนี้ ก็มีผลบังคับใช้มาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๗๘ โดยมาตราต่าง ๆดังที่กล่าวมาข้างต้นยังไม่เคยได้รับการปรับปรุงแก้ไขเลย แน่นอนว่า การแปลความหมายจากต้นร่างเดิมซึ่งเป็นภาษาต่างประเทศ ย่อมต้องมีโอกาสผิดเพี้ยนไปบ้างไม่มากก็น้อย ซึ่งก็มีปัจจัยเงื่อนไขหลายประการที่อาจก่อให้เกิดความผิดพลาดเช่นนั้นได้ ดังนั้น ในการตีความกฎหมายบางมาตราที่ไม่ชัดเจน เราคงต้องพยายามค้นหาเจตนารมณ์ที่แท้จริงของกฎหมายให้ได้ แล้วนำมาบังคับใช้ให้ถูกต้องและเป็นธรรมมากที่สุด เพราะกฎหมายไม่ใช่ตัวความยุติธรรมแต่เป็นเพียงเครื่องมือที่ช่วยให้เกิดความยุติธรรมเท่านั้น./
และวารสารกฎหมาย มสธ. ปีที่ ๑๗ ฉบับที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๔๘.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น