เหตุขัดข้องในการจัดการหรือแบ่งทรัพย์มรดก[1]
โดย...โสต สุตานันท์
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๗๑๓ บัญญัติว่า
“ ทายาทหรือผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการจะร้องต่อศาลขอให้ตั้งผู้จัดการมรดกก็ได้ ในกรณีดั่งต่อไปนี้
(๑) เมื่อเจ้ามรดกตาย ทายาทโดยธรรมหรือผู้รับพินัยกรรมได้สูญหายไป หรืออยู่นอกราชอาณาเขต หรือเป็นผู้เยาว์
(๒) เมื่อผู้จัดการมรดกหรือทายาทไม่สามารถ หรือไม่เต็มใจที่จะจัดการ หรือ มีเหตุขัดข้องในการจัดการ หรือในการแบ่งปันมรดก
(๓) เมื่อข้อกำหนดพินัยกรรมซึ่งตั้งผู้จัดการมรดกไว้ไม่มีผลบังคับได้ด้วยประการใด ๆ
การตั้งผู้จัดการมรดกนั้น ถ้ามีข้อกำหนดพินัยกรรม ก็ให้ศาลตั้งตามข้อกำหนดพินัยกรรม และถ้าไม่มีข้อกำหนดพินัยกรรม ก็ให้ศาลตั้งเพื่อประโยชน์แก่กองมรดกตามพฤติการณ์และโดยคำนึงถึงเจตนาของเจ้ามรดกแล้วแต่ศาลจะเห็นสมควร ”
จากบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว จะเห็นว่า ในการยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งแต่งตั้งผู้จัดการมรดกนั้น มีเหตุแห่งการยื่นคำร้องอยู่หลายประการ แต่จากประสบการณ์ในการทำงานของผู้เขียน พบว่า ในการยื่นคำร้องขอจัดการมรดกต่อศาลนั้นเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ผู้ร้องมักอ้างเหตุผลทำนองเดียวกันว่า “ ผู้ร้องมีเหตุขัดข้องในการจัดการมรดก เนื่องจากผู้ร้องไปติดต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขอรับโอนทรัพย์มรดกแล้ว เจ้าหน้าที่แจ้งว่า ต้องไปยื่นคำร้องขอให้ศาลตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกก่อน จึงจะดำเนินการให้ได้ ” ซึ่งเหตุผลที่กล่าวอ้าง ดังกล่าว ถือเป็นเหตุตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๗๑๓ (๒) และเมื่อถึงวันนัดไต่สวนเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์จะไม่มีบุคคลใดยื่นคำคัดค้านเข้ามา ศาลก็จะไต่สวนพยานผู้ร้องไปฝ่ายเดียว ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ร้องก็จะอ้างตนเองเป็นพยานเพียงปากเดียว โดยจะเบิกความถึงเหตุขัดข้องในการขอจัดการมรดกเพียงลอย ๆเหมือนกับข้ออ้างในคำร้องดังกล่าว และมักจะนำหนังสือการได้รับความยินยอมจากทายาททุกคนมาแสดงต่อศาลว่า ไม่มีทายาทคนใดขัดข้องในการที่ผู้ร้องยื่นขอจัดการมรดกต่อศาล ซึ่งศาลก็จะมีคำสั่งแต่งตั้งให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกได้ตามขอ
จากลักษณะคำร้องขอและกระบวนการไต่สวนคำร้องรวมทั้งการมีคำสั่งของศาลดังกล่าว มองดูเผิน ๆก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะเมื่อศาลตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกแล้ว ก็สมประโยชน์ของผู้ร้องและนำคำสั่งศาลไปแสดงต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดการโอนหรือแบ่งทรัพย์มรดกให้กับทายาทต่อไป แต่หากคิดดูให้ดีแล้ว จะเห็นว่ามีผลกระทบที่สำคัญตามมาอยู่ ๒ ประการ คือ
ประการแรก มีผลทำให้คดีร้องขอจัดการมรดกขึ้นสู่ศาลจำนวนมาก เพราะเมื่อเจ้ามรดกตาย หากไม่มีการแบ่งทรัพย์สินให้ทายาทก่อนตาย ก็จะต้องยื่นคำร้องขอให้ศาลตั้งผู้จัดการมรดกทุกราย ผู้เขียนไม่แน่ใจว่า ในแต่ละวันคดีจัดการมรดกรวมกันทั่วประเทศมีกี่คดี แต่คิดว่าคงมีจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว น่าจะถึงหลักพันคดี เมื่อคิดรวมทั้งปีก็คงเป็นจำนวนกว่าหมื่นคดี ผลที่ตามมาก็คือ ศาลต้องมีภาระในการบริหารจัดการคดีดังกล่าว ต้องสูญเสียเวลา กำลังคนและงบประมาณไปไม่น้อย
ประการที่สอง ผู้ร้องต้องเสียค่าใช้จ่ายในการว่าจ้างทนายความให้ดำเนินคดีแทน และต้องเสียเวลาในการไต่สวนอีก ซึ่งหากมองเฉพาะตัวบุคคลคงเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ถ้ามองในภาพรวมแล้ว ก็จะเห็นว่า ประชาชนต้องสูญเสียเวลาและค่าใช้จ่ายอย่างมากมาย นอกจากนั้น จากการสังเกตของผู้เขียน พบว่ามีคดีจำนวนมาก ผู้ตายมีทายาทเพียงคนเดียวหรือสองคน ทรัพย์สินของผู้ตายก็มีที่ดินเพียง ๑- ๒ งาน หรือมีทรัพย์สินอื่นเพียงเล็กน้อย คดีหลายเรื่องจากการสังเกตการแต่งตัวหรือลักษณะการเบิกความของผู้ร้องแล้ว รู้สึกหดหู่ใจ เขาลำบากยากจนถึงขนาดนั้น ทรัพย์สินมีนิดเดียว ทำไมเขาต้องเสียเวลามาศาล ทำไมเขาต้องเสียค่าจ้างทนายความเป็นเงินหลายพันบาทเพื่อจัดการทรัพย์สินอันน้อยนิดของเขา
จากหลักกฎหมาย ข้อเท็จจริงในทางปฏิบัติและปัญหาผลกระทบดังกล่าว จึงมีประเด็นที่น่าคิดว่า คำว่า “ เหตุขัดข้องในการจัดการหรือในการแบ่งปันมรดก ” ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๗๑๓(๒) นั้น มีขอบเขตความหมายแค่ไหน เพียงใด แท้จริงแล้วเหตุผลตามคำร้องดังกล่าวข้างต้น จะถือเป็นเหตุขัดข้องในการจัดการหรือในการแบ่งปันมรดกหรือไม่ ผู้เขียนได้ศึกษาค้นคว้าแนวคำพิพากษาของศาลฎีกาเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวแล้ว ไม่ปรากฏว่า เคยมีคดีใดที่วินิจฉัยว่า การที่เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานใด ไม่ยอมจัดการโอนทรัพย์มรดกให้ทายาทเจ้ามรดก เป็นเหตุขัดข้องในการจัดการมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๗๑๓ (๒) จึงได้ไปศึกษาค้นคว้าระเบียบกฎหมายและแนวทางปฏิบัติของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดการทรัพย์มรดกของผู้ตาย ๓ หน่วยงาน คือ กรมที่ดิน กรมการขนส่งทางบก และธนาคารต่าง ๆ ผลการศึกษาพอจะสรุปได้ดังนี้ คือ
๑. กรมที่ดิน - มีกฎหมายที่เกี่ยวข้อง คือ
๑.) ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๘๑ บัญญัติว่า “การขอจดทะเบียนสิทธิเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ซึ่งได้มาโดยทางมรดกให้ผู้ได้รับมรดกนำหลักฐานสำหรับที่ดิน หรือหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินพร้อมด้วยหลักฐานในการได้รับมรดก มายื่นคำขอต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา 71 ถ้าหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินอยู่กับบุคคลอื่น ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจเรียกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินดังกล่าวนั้นได้
เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่สอบสวนพยานหลักฐาน และเชื่อได้ว่าผู้ขอเป็นทายาทแล้ว ให้ประกาศโดยทำเป็นหนังสือปิดไว้ในที่เปิดเผยมีกำหนดสามสิบวัน ณ สำนักงานที่ดิน เขตหรือที่ว่าการอำเภอหรือกิ่งอำเภอท้องที่ สำนักงานเทศบาล
ที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบล ที่ทำการแขวงหรือที่ทำการกำนันท้องที่ซึ่งที่ดิน
ตั้งอยู่และบริเวณที่ดินนั้นแห่งละหนึ่งฉบับ และให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีหนังสือส่ง
ประกาศดังกล่าว ให้บุคคลที่ผู้ขอแจ้งว่าเป็นทายาททุกคนทราบเท่าที่สามารถจะทำ
ได้หากไม่มีทายาทซึ่งมีสิทธิได้รับมรดกโต้แย้งภายในกำหนดเวลาที่ประกาศและมีหลักฐานเป็นที่เชื่อได้ว่าผู้ขอมีสิทธิได้รับมรดกแล้ว ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ดำเนินการจดทะเบียนให้ตามที่ผู้ขอแสดงหลักฐานมีสิทธิตามกฎหมาย ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
ในกรณีที่ทายาทซึ่งมีสิทธิได้รับมรดกโต้แย้ง ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจสอบสวนคู่กรณีและเรียกบุคคลใดๆ มาให้ถ้อยคำ หรือสั่งให้ส่งเอกสารที่เกี่ยวข้องได้ตามความจำเป็น และให้พนักงานเจ้าหน้าที่เปรียบเทียบถ้าเปรียบเทียบไม่ตกลงให้พนักงานเจ้าหน้าที่สั่งการไปตามที่เห็นสมควร
เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่สั่งประการใดแล้ว ให้แจ้งให้คู่กรณีทราบ และให้ฝ่ายที่ไม่พอใจไปดำเนินการฟ้องต่อศาล ภายในกำหนดหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง หากผู้นั้นมิได้ฟ้องต่อศาลและนำหนักฐานมายื่นฟ้องพร้อมสำเนาคำฟ้องเกี่ยวกับสิทธิในการได้รับมรดกมาแสดงต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ภายในกำหนดเวลาดังกล่าวก็ให้ดำเนินการไปตามที่พนักงานเจ้าหน้าที่สั่ง
ในกรณีที่ทายาทได้ยื่นฟ้องต่อศาลภายในกำหนดเวลาตามความในวรรคสี่หรือทายาทอื่นซึ่งมีสิทธิได้รับมรดกได้ฟ้องคดีเกี่ยวกับสิทธิในการได้รับมรดกต่อศาลก่อนที่พนักงานเจ้าหน้าที่ได้จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมการได้มาโดยทางมรดก เมื่อผู้นั้นนำหลักฐานการยื่นฟ้องสำเนาคำฟ้องแสดงต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ให้พนักงาน
เจ้าหน้าที่ระงับการจดทะเบียนไว้ เมื่อศาลได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดประการใดก็ให้ดำเนินการไปตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น ”
๒.) กฎกระทรวงฉบับที่ ๒๔ (พ.ศ. ๒๕๑๖)
- ข้อ ๓ บัญญัติว่า “มรดกไม่มีพินัยกรรม ให้พนักงาน
เจ้าหน้าที่สอบสวนพยานหลักฐานและพิจารณาการเป็นทายาท สิทธิในการรับมรดก และวันตายของเจ้ามรดก โดยให้ผู้ขอแสดงบัญชีเครือญาติและหลักฐานอื่นประกอบด้วย ”
- ข้อ ๔ บัญญัติว่า “ การจดทะเบียนสิทธิเกี่ยวกับ
อสังหาริมทรัพย์ซึ่งได้มาโดยทางมรดกไม่มีพินัยกรรม และมีทายาทซึ่งมีสิทธิได้รับมรดกหลายคน นอกจากจะต้องดำเนินการตามข้อ ๓ แล้ว ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ดำเนินการดังต่อไปนี้ด้วย
(๑) ในกรณีที่ทายาทบางคนมาขอจดทะเบียนรับมรดกตามสิทธิ
ของตนหรือขอให้ลงชื่อทายาทอื่นที่มีสิทธิได้รับมรดกทุกคนตามที่ผู้ขอแสดงไว้ในบัญชีเครือญาติ เมื่อไม่มีผู้โต้แย้งภายในกำหนดเวลาที่ประกาศ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่จดทะเบียนให้ตามที่ผู้ขอแสดงหลักฐานการมีสิทธิตามกฎหมาย
(๒) ในกรณีที่ทายาทบางคนมาขอจดทะเบียนรับมรดกทั้งหมด
ถ้าผู้ขอนำทายาทที่แสดงไว้ในบัญชีเครือญาติทุกคนมาให้ถ้อยคำยินยอม หรือนำหลักฐานการไม่รับมรดกของทายาทดังกล่าวนั้นมาแสดงต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ภายในกำหนดเวลาที่ประกาศ ให้พนักงานเจ้าที่จดทะเบียนให้ตามที่ผู้ขอแสดงหลักฐานการมีสิทธิตามกฎหมาย แต่ถ้าผู้ขอไม่สามารถนำทายาทที่แสดงไว้ในบัญชีเครือญาติทุกคนมาให้ถ้อยคำยินยอม หรือไม่สามารถนำหลักฐานการไม่รับมรดกของทายาทดังกล่าวนั้นมาแสดงต่อพนักงานเจ้าที่ภายในกำหนดเวลาที่ประกาศได้ ก็ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ยกคำขอเสีย ”
๒. กรมการขนส่งทางบก - มีระเบียบและแนวทางปฏิบัติที่เกี่ยวข้อง คือ
๑.) ระเบียบกรมการขนส่งทางบกว่าด้วยการดำเนินการเกี่ยวกับทะเบียนและภาษีรถตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ พ.ศ. ๒๕๓๑ ข้อ ๓๖ ความว่า “ การโอนรถโดยการรับมรดกที่ไม่มีพินัยกรรมและไม่มีคำสั่งศาลแต่งตั้งผู้จัดการมรดก เมื่อได้รับคำขอโอนรถตามข้อ ๓๔ และตรวจสอบหลักฐานประกอบคำขอถูกต้องแล้ว ให้ดำเนินการดังนี้
(๑) ตรวจสอบรถ
(๒) จัดทำหนังสือไปยังเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองหรือพนักงานสอบสวนท้องที่ตามภูมิลำเนาของเจ้ามรดก เพื่อขอความร่วมมือให้สอบปากคำบรรดาทายาทของเจ้ามรดก พร้อมทั้งขอให้ดำเนินการประกาศรับโอนมรดกนั้นด้วย
ถ้าปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ดังกล่าวไม่อาจดำเนินการสอบปากคำบรรดาทายาทและประกาศรับมรดกตามที่ขอความร่วมมือไปได้ ให้นายทะเบียนแจ้งให้ผู้รับโอนนั้นยื่นคำร้องต่อศาลให้มีการแต่งตั้งผู้จัดการมรดก แล้วนำคำสั่งศาลมาเป็นหลักฐานประกอบการโอนรถ โดยให้ดำเนินการเช่นเดียวกับการโอนรถโดยศาลแต่งตั้งผู้จัดการมรดกตามข้อ ๓๔(๔)
(๓) เมื่อได้รับแจ้งผลการดำเนินการตาม (๒) วรรคแรกแล้วให้จัดเก็บค่าธรรมเนียมคำขอและค่าธรรมเนียมการโอนรถ
(๔) บันทึกรายการโอนในทะเบียนรถและใบคู่มือจดทะเบียนรถเสนอนายทะเบียนลงนาม”
๒.) หนังสือบันทึกข้อความ ที่ คค ๐๓๐๒ / ว.๒๐ ลงวันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๒๕ และ ที่ คค ๐๓๑๐ / ว.๒๕ ลงวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๓๓ ได้กำหนดแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการโอนรถโดยการรับมรดกที่ไม่มีพินัยกรรมและไม่มีคำสั่งศาลแต่งตั้งผู้จัดการมรดก ไว้ดังนี้ คือ
(๑) ให้ทายาทที่มีสิทธิรับมรดกและต้องการรับโอนรถ ยื่นคำขอโอนและรับโอนต่อนายทะเบียน พร้อมเอกสารประกอบคำขอ จากนั้นนายทะเบียนจะตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้น หากเห็นว่าถูกต้องจะมีหนังสือส่งไปยังเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ณ ที่ว่าการอำเภอ หรือสำนักงานเขต หรือพนักงานสอบสวนแห่งที่ที่ผู้ตายมีภูมิลำเนา เพื่อขอความร่วมมือให้สอบปากคำทายาทและดำเนินการประกาศการรับโอนมรดก เพื่อเปิดโอกาสให้ทายาทหรือผู้มีส่วนได้เสียสามารถโต้แย้งหรือคัดค้าน โดยกำหนดเวลาให้ ๓๐ วัน
(๒) กรณีไม่มีบุคคลใดโต้แย้งหรือคัดค้านก็ให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการโอนมรดกให้ทายาทตามคำขอต่อไป แต่หากมีคนคัดค้านและไม่สามารถตกลงกันได้ หรือเจ้าหน้าที่ไม่อาจดำเนินการสอบปากคำบรรดาทายาทได้ ให้นายทะเบียนแจ้งให้ผู้รับโอนนั้นยื่นคำร้องต่อศาลให้มีการแต่งตั้งผู้จัดการมรดก แล้วนำคำสั่งศาลมาเป็นหลักฐานประกอบการโอนรถ
๓. ธนาคาร จากการที่ผู้เขียนได้สอบถามข้อมูลไปยังธนาคารในต่างจังหวัดหลายแห่ง ได้รับคำตอบทำนองเดียวกันว่า สำนักงานใหญ่ไม่ได้ออกระเบียบหรือกำหนดแนวทางปฏิบัติกรณีที่เจ้าของบัญชีเงินฝากเสียชีวิตและทายาทไปขอถอนเงินไว้อย่างชัดเจน โดยจะกำหนดแนวทางไว้กว้าง ๆทำนองว่า ให้เป็นดุลยพินิจของผู้จัดการธนาคารแต่ละแห่งว่าจะให้ดำเนินการอย่างไร ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะมีวิธีปฏิบัติคือ กรณีเงินฝากมีจำนวนไม่มากนัก ( โดยเฉลี่ยไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท ) ก็จะให้ทายาทของผู้ตายทุกคนไปที่ธนาคารและทำหลักฐานเป็นหนังสือไว้ หรือบางครั้งก็อาจขอความร่วมมือให้ผู้ใหญ่บ้านหรือกำนันไปเป็นพยานด้วย แต่หากเงินฝากมีจำนวนมาก ก็จะแนะนำให้ทายาทไปยื่นขอให้ศาลตั้งผู้จัดการมรดกก่อน เว้นแต่ รายใดที่ผู้จัดการหรือเจ้าหน้าที่ธนาคารรู้จักเป็นการส่วนตัวและเห็นว่า ไม่น่าจะมีปัญหาใด ก็จะผ่อนผันอนุโลมให้ถอนเงินไปได้
จากข้อระเบียบกฎหมายและแนวทางปฏิบัติของทั้ง ๓ หน่วยงานดังกล่าว จะเห็นว่า กรณีกรมที่ดินกับกรมการขนส่งทางบกนั้น ได้มีการกำหนดขั้นตอนแนวทางปฏิบัติสำหรับเจ้าหน้าที่ไว้อย่างชัดเจน ดังนั้น หากทายาทผู้ตายไปติดต่อขอรับโอนทรัพย์มรดก เจ้าหน้าที่ต้องดำเนินการตามระเบียบกฎหมายที่กำหนด ซึ่งทั้งสองกรมมีหลักการแนวทางทำนองเดียวกัน คือ จัดให้มีการประกาศการขอรับโอนมรดกก่อน หากไม่มีบุคคลใดโต้แย้งคัดค้านก็จะต้องดำเนินการโอนมรดกให้ทายาทตามที่เขาขอมา แต่หากมีคนคัดค้าน เจ้าหน้าที่ต้องทำการตรวจสอบไต่สวนข้อเท็จจริง ถ้าคำคัดค้านฟังไม่ขึ้นอย่างชัดเจนก็อาจตัดสินใจโอนทรัพย์มรดกให้ทายาทไป แต่หากยังไม่ชัดเจนก็ต้องยกคำขอและแนะนำให้ทายาทไปยื่นคำร้องขอให้ศาลตั้งผู้จัดการมรดก เจ้าหน้าที่ไม่น่าจะมีสิทธิปฏิเสธไม่ดำเนินการตามแนวทางดังกล่าวได้
อย่างไรก็ตาม ก็ไม่ได้หมายความว่า ทายาทผู้ตายจะต้องไปยื่นขอรับโอนมรดกจากหน่วยงานดังกล่าวก่อนทุกกรณี ต่อเมื่อมีคนคัดค้านจึงไปยื่นขอให้ศาลตั้งผู้จัดการมรดกเป็นลำดับขั้นตอนไป แต่ทายาทอาจเลือกที่จะไปยื่นคำร้องขอให้ศาลตั้งผู้จัดการมรดกก่อน จากนั้น จึงนำคำสั่งศาลไปขอรับโอนทรัพย์มรดกก็ได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ในการยื่นคำร้องต่อศาลนั้น จะต้องมีเหตุขัดข้องในการจัดการมรดกอย่างแท้จริง เช่น ทายาทไม่สามารถตกลงกันได้ว่าจะแบ่งทรัพย์มรดกให้ใครบ้าง จำนวนเท่าไหร่ หรือทรัพย์มรดกมีจำนวนมาก มีทั้งสิทธิเรียกร้องและหนี้สิน หรือ มีเหตุอื่นใดที่ทำให้การจัดแบ่งมรดกมีความยุ่งยากซับซ้อน เป็นต้น จะอ้างเหตุผลเพียงว่า เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องไม่ดำเนินการให้ไม่ได้
สำหรับธนาคารนั้น แม้จะไม่มีแนวทางปฏิบัติไว้อย่างชัดเจน แต่โดยหลักแล้ว หากทายาทเจ้ามรดกสามารถตกลงกันได้และมีพยานหลักฐานชัดเจนว่า ไม่มีการปกปิดตัวทายาท ก็น่าจะยินยอมให้ถอนเงินฝากไปได้ไม่ว่าจะเป็นเงินจำนวนเท่าใดก็ตาม โดยอาจกำหนดเงื่อนไขหลักเกณฑ์ในการตรวจสอบข้อมูลที่เกี่ยวข้องตามความเหมาะสม เช่น ตรวจสอบหลักฐานทางทะเบียนไปยังหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง มีหนังสือแจ้งให้ทายาททุกคนทราบหรือ อาจจัดให้มีการปิดประกาศโดยเรียกเก็บค่าใช้จ่ายจากทายาทเจ้ามรดก เป็นต้น
อาจมีข้อโต้แย้งว่า หากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้แล้ว ถ้ามีปัญหาเกิดขึ้นในภายหลังก็ไม่พ้นศาลอยู่ดี แต่ผู้เขียนก็เห็นว่า เราต้องตั้งข้อสันนิษฐานว่า ประชาชนส่วนใหญ่เป็นคนดี คนที่มีเจตนาทุจริตคิดจะโกงญาติพี่น้องเป็นเรื่องของคนส่วนน้อย เมื่อคนส่วนใหญ่กว่า ๙๐ เปอร์เซ็นต์ ไม่มีปัญหา แล้วทำไมเราจะต้องนำหลักการหรือวิธีปฏิบัติที่ระแวงคนส่วนน้อยไม่กี่คนที่มีปัญหา มาบังคับใช้กับคนส่วนใหญ่ให้ได้รับความเดือดร้อนเล่า เราน่าจะสร้างกฎกติกาเพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ก่อน ส่วนคนส่วนน้อยที่มีปัญหา เราก็ค่อยหยิบยกขึ้นมาว่ากันเป็นราย ๆไป
กล่าวโดยสรุป ผู้เขียนเห็นว่า คำร้องขอจัดการมรดกที่อ้างเหตุผลเพียงว่า ผู้ร้องไปติดต่อขอรับโอนทรัพย์มรดกกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว เจ้าหน้าที่ไม่ดำเนินการให้นั้น ไม่น่าจะถือว่า เป็นเหตุขัดข้องในการจัดการหรือในการแบ่งปันมรดก ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๗๑๓ (๒) หากมีการยื่นคำร้องในลักษณะดังกล่าว ศาลน่าจะมีคำสั่งไม่รับคำร้อง ซึ่งจะมีผลทำให้เป็นการลดงาน ลดเวลา และภาระค่าใช้จ่ายของศาลได้มากมาย อีกทั้ง ยังจะเป็นการช่วยเหลือดูแลประชาชนผู้ยากไร้ได้มากเลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม เพื่อความเป็นเอกภาพในการปฏิบัติงานของศาล และเพื่อให้ประชาชนได้รับการช่วยเหลืออย่างแท้จริง เพราะหากศาลหรือผู้พิพากษาทั้งหลายปฏิบัติแตกต่างกัน แทนที่จะเป็นการช่วยเหลือประชาชนกลับจะทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนเพิ่มขึ้นไปอีก เนื่องจากเมื่อประชาชนไปติดต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วเจ้าหน้าที่ไม่ดำเนินการให้ ครั้นเมื่อไปขอพึ่งศาลแล้วศาลก็ปฏิเสธอีก ประชาชนก็คงเคว้งคว้างไม่รู้จะทำอย่างไร
ผู้เขียนจึงเห็นว่า ศาลยุติธรรมน่าจะสร้างมาตรการแนวทางปฏิบัติให้เป็นไปในแนวทางเดียวกันทั่วประเทศ ด้วยการออกเป็นระเบียบประธานศาลฎีกา ว่าด้วยหลักเกณฑ์เงื่อนไขการรับฟ้องคดีจัดการมรดก โดยอาศัยอำนาจตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา ๕ กำหนดเงื่อนไขหลักเกณฑ์ในการรับฟ้องทำนองว่า “ ผู้ร้องต้องระบุเหตุผลในคำร้องให้ชัดเจนว่า มีเหตุขัดข้องในการจัดการมรดกหรือในการแบ่งมรดกอย่างไร แบ่งมรดกกันไม่ได้เพราะสาเหตุใด หรือทายาทคนไหนที่มีปัญหา ก็ระบุชื่อให้ชัดเจนว่า เป็นใคร มีปัญหาอย่างไร ”
อาจมีข้อโต้แย้งว่า การออกระเบียบในลักษณะดังกล่าว จะเป็นการแทรกแซงความเป็นอิสระของผู้พิพากษาหรือไม่ เพราะรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๔๙ บัญญัติว่า “การพิจารณาพิพากษาอรรถคดีของผู้พิพากษา และ ตุลาการ ไม่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาตามลำดับชั้น” ปัญหานี้ ผู้เขียนเห็นว่า รัฐธรรมนูญมาตราดังกล่าว น่าจะมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อป้องกันผู้บริหารมิให้ก้าวก่ายหรือแทรกแซงการทำหน้าที่ของผู้พิพากษาในการปฏิบัติหน้าที่เฉพาะเรื่องเฉพาะคดีมากกว่า กรณีการออกคำสั่งหรือแนวทางปฏิบัติในเรื่องใดที่ออกมาเพื่อใช้บังคับเป็นการทั่วไปกับทุกคนกับทุกคดี เพื่อประโยชน์ของทางราชการโดยส่วนรวม น่าจะเป็นเรื่องอำนาจทางการบริหารซึ่งผู้บริหารสามารถทำได้
ซึ่งที่ผ่านมาศาลยุติธรรมก็เคยออกระเบียบกำหนดแนวทางปฏิบัติในส่วนที่คาบเกี่ยวกับงานด้านคดีความหลายเรื่อง เป็นต้นว่า ระเบียบเกี่ยวกับการขอปล่อยชั่วคราว ระเบียบเกี่ยวกับการออกหมายค้น หมายจับ หรือหมายขัง ระเบียบว่าด้วยแนวปฏิบัติในการนั่งพิจารณาคดีต่อเนื่อง หรือ แม้กระทั่งศาลต่าง ๆทุกศาลผู้บริหารจะกำหนดบัญชีอัตราโทษ (ยี่ต๊อก) ขึ้นมาเพื่อเป็นแนวทางสำหรับผู้พิพากษาในการพิพากษาตัดสินคดี ดังนั้น การออกระเบียบตามที่ผู้เขียนเสนอดังกล่าว จึงเป็นการใช้อำนาจในทางบริหารของประธานศาลฎีกาโดยมีกฎหมายรองรับอย่างถูกต้อง ไม่น่าจะเป็นเรื่องของการแทรกแซงความเป็นอิสระของผู้พิพากษาแต่อย่างใด
ปัญหาว่า หากประชาชนไปยื่นขอรับโอนทรัพย์มรดกโดยไม่ยื่นขอให้ศาลมีคำสั่งแต่งตั้งผู้จัดการมรดกก่อน แล้วหน่วยงานที่รับผิดชอบปฏิเสธไม่ดำเนินการให้ จะทำอย่างไร ผู้เขียนเห็นว่า หากหน่วยงานนั้นเป็นหน่วยงานราชการ ประชาชนย่อมสามารถไปพึ่งศาลปกครองได้ เพราะกรณีต้องถือว่า เป็นคำสั่งในทางปกครอง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙
อีกปัญหาหนึ่งที่เป็นห่วงกันว่า ถ้าศาลปฏิเสธไม่รับคำร้องแทนที่จะเป็นการช่วยเหลือประชาชน อาจจะส่งผลทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนมากขึ้นกว่าเดิมอีกก็เป็นได้นั้น เรื่องนี้ ผู้เขียนมีความเห็นว่า สังคมในยุคปัจจุบัน ประชาชนมีความรู้และการศึกษาดีขึ้น อีกทั้งยังมีหน่วยงานของรัฐรวมทั้งองค์กรเอกชนต่าง ๆอีกมากมาย ที่คอยควบคุม สอดส่องหรือตรวจสอบถ่วงดุลการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รัฐ ดังนั้น จึงเชื่อว่า ปัญหาในเรื่องการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในทำนองเรียกร้องผลประโยชน์ตอบแทนจากประชาชนนั้น สภาพการณ์ไม่น่าจะเลวร้ายเหมือนในอดีตที่ผ่านมา หรือหากจะยังมีอยู่ ผู้เขียนก็เห็นว่า การแก้ไขปัญหาของสังคมนั้น ต้องเน้นการแก้ไขปัญหาในระยะยาวเป็นสำคัญ โดยต้องยึดถือระเบียบกฎหมายอันเป็นกฎกติกาของสังคมเป็นแนวปฏิบัติและบังคับใช้กฎหมายให้เป็นไปตามเจตนารมณ์อย่างเคร่งครัด หากมีอุปสรรคปัญหาใด ๆเกิดขึ้น ก็คงเป็นหน้าที่ของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในอันที่จะร่วมกันแก้ไขปัญหาตามบทบาทหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย การแก้ไขปัญหาด้วยวิธีการที่ยืดหยุ่นเกินไปนั้น แม้จะมีจิตมีเจตนาที่ดี แต่หากมองปัญหาภาพรวมในระยะยาวแล้ว ผู้เขียนเห็นว่า น่าจะก่อให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี อีกทั้งยังน่าจะเป็นการขัดขวางกระบวนการในการพัฒนาการของสังคมอีกด้วย./
[1] วารสารกฎหมาย มสธ. ปีที่ ๑๘ ฉบับที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๔๙นิตยสารบทบัณฑิตย์ เล่ม ๖๒ ตอน ๒ มิถุนายน ๒๕๔๙.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น