การใช้อำนาจอธิปไตยทั้งสี่[1]
โดย...โสต สุตานันท์
กฎหมายรัฐธรรมนูญของไทยทุกฉบับที่ผ่านมา ได้บัญญัติเกี่ยวกับเรื่อง “อำนาจอธิปไตย” ไว้ทำนองเดียวกันว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย ซึ่งคำว่า อำนาจอธิปไตย นั้น ก็เป็นที่เข้าใจกันมาโดยตลอดว่า หมายถึง การใช้อำนาจของทั้ง ๓ สถาบัน อันได้แก่ อำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ หมายความว่า แท้จริงแล้วอำนาจทั้งสามดังกล่าวเป็นของปวงชนชาวไทยทุกคน แต่ในทางปฏิบัติตามความเป็นจริง เราคงไม่สามารถให้คนไทยทุกคนใช้อำนาจดังกล่าวโดยตรงได้ จึงมีความจำเป็นต้องมอบหมายให้บุคคลหรือคณะบุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นตัวแทนในการใช้อำนาจ ภายใต้กระบวนการของระบอบประชาธิปไตย ซึ่งในอดีตที่ผ่านมา ประชาชนได้มีส่วนในการใช้อำนาจเพียงแค่การออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งเท่านั้น หลังจากนั้น ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของตัวแทนที่ได้รับเลือกเข้าไปใช้อำนาจได้อย่างเต็มที่ โดยประชาชนแทบจะไม่มีโอกาสได้มีส่วนร่วมในการใช้อำนาจเลย จนกระทั่ง กฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ปี ๒๕๔๐ ได้อุบัติขึ้น ประชาชนจึงได้มีโอกาสเข้าไปมีส่วนในการใช้อำนาจต่าง ๆได้โดยตรงมากขึ้น เป็นต้นว่า
- การมีสิทธิ์เข้าชื่อกันไม่น้อยกว่าห้าหมื่นคน เสนอร่างกฎหมายต่อรัฐสภาเพื่อพิจารณาโดยตรง (มาตรา ๑๗๐ )
- การเข้าชื่อกันไม่น้อยกว่าห้าหมื่นคนเพื่อร้องขอให้วุฒิสภามีมติถอดถอนบุคคลต่าง ๆที่ดำรงตำแหน่งในฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการ หากเห็นว่า มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ หรือส่อไปในทางทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจใช้อำนาจไปในทางที่ขัดต่อกฎหมาย (มาตรา ๓๐๓ และ ๓๐๔ )
- การมีสิทธิอนุรักษ์ หรือฟื้นฟูจารีตประเพณี ภูมิปัญญาท้องถิ่น ศิลปะ หรือวัฒนธรรมอันดีของท้องถิ่นหรือของชาติ และมีส่วนร่วมในการจัดการ การบำรุงรักษา และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (มาตรา ๔๖ )
นอกจากนั้น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับชั่วคราว พุทธศักราช ๒๕๔๙ มาตรา ๒๙ ยังบัญญัติเป็นหลักการไว้ว่า เมื่อมีการร่างรัฐธรรมนูญแล้วเสร็จ ให้เผยแพร่ให้ประชาชนทราบและจัดให้ออกเสียงประชามติว่า จะให้ความเห็นชอบหรือไม่ อย่างไร อีกทั้งในการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ล่าสุดที่กำลังทำกันอยู่ในขณะนี้นั้น ผู้เขียนก็เชื่อว่า เนื้อหาสาระในส่วนที่เกี่ยวกับสิทธิในการเข้าไปมีส่วนร่วมในการใช้อำนาจต่าง ๆของประชาชนโดยตรง น่าจะมีมากขึ้นกว่าเดิมยิ่งขึ้นไปอีก หรืออย่างน้อย ก็ไม่น่าจะน้อยกว่า รัฐธรรมนูญฉบับปี ๒๕๔๐
กล่าวโดยสรุปก็คือว่า ณ ปัจจุบันนี้ การใช้อำนาจของประชาชนนั้น นอกจากจะใช้อำนาจโดยผ่านฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ แล้ว ประชาชนยังสามารถใช้อำนาจต่าง ๆได้โดยตรงอีกทางหนึ่ง ซึ่งก็เป็นเหตุให้ผู้เขียนตั้งชื่อเรื่องบทความนี้ว่า “การใช้อำนาจอธิปไตยทั้งสี่” ถึงตอนนี้ผู้อ่านคงหายสงสัยชื่อบทความของผู้เขียนแล้วว่า ไม่ได้มีการเข้าใจผิดหรือพิมพ์ผิดพลาดแต่อย่างใด
ไม่ว่าเราจะทำอะไรในโลกนี้ ย่อมหลีกหนีไม่พ้นที่จะมีผลกระทบต่ออีกสิ่งหนึ่ง ดุจดั่งคำกล่าวที่ว่า “เราไม่สามารถเด็ดดอกไม้ โดยไม่ให้กระเทือนถึงดวงดาวได้ ”
ผู้เขียนเห็นว่า ที่ผ่านมาสังคมไทยมักจะมองปัญหาแบบแยกส่วน โดยไม่ค่อยจะคำนึงถึง “ภาพรวม” มากนัก ปัญหาต่าง ๆของชาติบ้านเมืองจึงได้พอกพูน สั่งสมมากขึ้นเรื่อย ๆเพราะเมื่อเราแก้ปัญหาหนึ่ง ก็จะเกิดอีกปัญหาหนึ่งตามมาเสมอ
ผู้เขียนเห็นว่า ที่ถูกต้องแล้ว ในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆนั้น เราต้องมองในภาพรวมทั้งหมดก่อน แล้วพยายามคิดหาวิธีการในการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ อย่างถี่ถ้วน รอบคอบ ทั้งนี้ เพื่อป้องกันมิให้เกิดผลกระทบในทางลบหรือในทางที่จะก่อให้เกิดผลเสียหายต่อสังคมโดยส่วนรวม หากเรามีกระบวนการวิธีคิด กระบวนการตัดสินใจตามแนวทางดังกล่าว ผู้เขียนเชื่อว่า ปัญหาต่าง ๆในทุกภาคส่วนของสังคมก็คงไม่เดินมาถึงจุดที่เรียกกันว่า เข้าขั้นวิกฤต เหมือนเช่นทุกวันนี้
การใช้อำนาจอธิปไตยก็เช่นกัน หลายคนมักจะมองว่า อำนาจแต่ละฝ่ายเป็นอิสระจากกัน ไม่ขึ้นแก่กันและกัน ซึ่งเป็นแนวคิดที่น่าเป็นห่วงและเป็นอันตรายอย่างยิ่ง เพราะแท้จริงแล้ว การใช้อำนาจอธิปไตยของฝ่ายต่าง ๆไม่ว่าฝ่ายไหน จะต้องมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงสอดคล้องกันอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเอื้ออำนวย สนับสนุนซึ่งกันและกัน หรือการคานดุลตรวจสอบซึ่งกันและกัน เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน ผู้เขียนขอยกตัวอย่างความเกี่ยวพันในการใช้อำนาจอธิปไตยต่าง ๆดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ
๑.) ระหว่างอำนาจนิติบัญญัติกับอำนาจบริหาร
ในสังคมบ้านเมืองเรานั้น เป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่เรามีกฎหมายที่ก้าวล้ำนำหน้าไม่ด้อยไปกว่านานาอารยประเทศต่าง ๆ แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจอย่างยิ่งเช่นกันที่มาตรการบังคับใช้ให้เป็นไปตามกฎหมายในบ้านเมืองเราหลายเรื่องล้าหลังเป็นอย่างมาก ฝ่ายนิติบัญญัติได้ออกกฎหมายดี ๆมากมายหลายฉบับ แต่ฝ่ายบริหารได้นำกฎหมายดี ๆเหล่านั้น เก็บไว้บนหิ้งบูชาโดยไม่นำมาบังคับใช้ให้เกิดประโยชน์สมดังเจตนารมณ์ของฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งมีให้เห็นเป็นตัวอย่างมากมาย เช่น
- เราบัญญัติกฎหมายห้ามขายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคา แต่ในทางปฏิบัติ อดีตที่ผ่านมาเชื่อว่าแม้แต่ตำรวจเอง บางคนก็อาจเคยซื้อสลากเกินราคาที่กำหนดไว้ สินค้าของรัฐบาลเองเรายังไม่สามารถควบคุมได้ การที่จะหวังพึ่งสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภคคงเป็นเรื่องที่ห่างไกล
- เราบัญญัติกฎหมายห้ามเด็กอายุไม่เกิน ๑๘ ปี ซื้อสุรา ซึ่งผู้เขียนเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง แต่ผู้อ่านคงทราบดีว่า ในทางปฏิบัติเราทำกันได้แค่ไหน เพียงใด
- เรามีกฎหมายควบคุมการค้าประเวณีบังคับใช้มาอย่างยาวนาน แต่การค้าประเวณีก็ยังไม่ได้ลดน้อยลงไปกว่าเดิม ในทางตรงข้ามน่าจะมีเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพียงแต่มีการเปลี่ยนรูปแบบ เปลี่ยนวิธีการ หรือสถานที่แตกต่างไปจากเดิมเท่านั้น
ฯลฯ
ที่กล่าวมาก็เป็นปัญหาของฝ่ายบริหารที่ไม่มีศักยภาพพอที่จะบังคับใช้กฎหมายตามที่ฝ่ายนิติบัญญัติออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัญหาสำคัญอีกประการหนึ่งซึ่งน่าเป็นห่วงอย่างยิ่งเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติซึ่งเกิดขึ้นในขณะนี้ คือ ฝ่ายบริหารมักจะเข้าไปพยายามครอบงำฝ่ายนิติบัญญัติ แล้วผลักดันให้ฝ่ายนิติบัญญัติออกกฎหมายมาบังคับใช้ในลักษณะที่ตัวเองต้องการ จากนั้น ก็อาศัยช่องว่างหรือช่องโหว่ของกฎหมายตามที่ได้เตรียมการณ์วางแผนไว้ ไปใช้ประโยชน์ในการทุจริตคอรัปชั่นหรือแสวงหาผลประโยชน์ในรูปแบบต่าง ๆซึ่งเรามักจะเรียกกันว่า “การทุจริตเชิงนโยบาย” ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากลัวและเป็นอันตรายต่อสังคมไทยเป็นอย่างยิ่ง เพราะการทุจริตในลักษณะดังกล่าว เป็นการทุจริตทั้งระบบในวงกว้าง และจำนวนเงินหรือผลประโยชน์ที่ทุจริตกันก็มีจำนวนมากมายมหาศาล
๒. ระหว่าอำนาจตุลาการกับอำนาจนิติบัญญัติและอำนาจบริหาร
แม้รัฐธรรมนูญทุกฉบับจะบัญญัติไว้ว่า ผู้พิพากษาหรือตุลาการ มีอิสระ
ในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดี แต่ในการตัดสินพิพากษาคดีของศาลนั้น มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องคำนึงถึงบทบาทหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารด้วย การใช้อำนาจจึงจะเกิดประโยชน์สูงสุดต่อสังคมโดยส่วนรวม ตัวอย่างเช่น
- ในช่วงเทศกาลปีใหม่หรือสงกรานต์ ฝ่ายบริหารมุ่งให้ความสำคัญต่อเรื่องการขับรถขณะเมาสุรา เนื่องจากเห็นว่า เป็นต้นเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุและสร้างความเสียหายต่อสังคมและบุคคลที่เกี่ยวข้องอย่างใหญ่หลวง จึงมีนโยบายในการเข้มงวดกวดขันจับกุมผู้กระทำความผิดฐานขับรถขณะเมาสุราอย่างเคร่งครัดเป็นพิเศษ ดังนั้น โดยหลักแล้วฝ่ายตุลาการโดยศาลยุติธรรมก็ควรที่จะกำหนดนโยบายหรือแนวทางในการตัดสินคดีให้สอดคล้องหรือคำนึงถึงนโยบายของฝ่ายบริหารดังกล่าวด้วย เช่น อาจใช้ดุลยพินิจลงโทษให้หนักขึ้น เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อให้การตัดสินคดีเป็นไปในทิศทางเดียวกันทั้งประเทศ อันจะช่วยก่อให้เกิดพลังมากพอที่จะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคนในสังคมหรือมีอิทธิพลต่อการชี้นำสังคมให้เดินไปในครรลองที่ถูกต้องดีงามได้
- ฝ่ายนิติบัญญัติออกกฎหมายลงโทษปรับในคดียาเสพติดไว้ค่อนข้างสูง เนื่องจากเห็นว่า การใช้มาตรการทางด้านทรัพย์สินน่าจะเป็นการป้องกันปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดได้ดีขึ้น ดังนั้น ศาลก็ควรจะบังคับใช้กฎหมายให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของฝ่ายนิติบัญญัติด้วย โดยการให้ความสำคัญกับการบังคับโทษปรับอย่างจริงจังก่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติให้ได้มากที่สุด
- กรณีเกิดโรคระบาด เช่น ไข้หวัดนก โดยปกติแล้วทั้งฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติย่อมให้ความสำคัญเป็นพิเศษ ด้วยการออกกฎหมายหรือกำหนดมาตรการต่าง ๆ ขึ้นมาเพื่อควบคุมสถานการณ์อย่างเข้มงวดและเด็ดขาด เพราะถือเป็นเรื่องที่ร้ายแรง มีผลกระทบต่อสังคมอย่างใหญ่หลวง ดังนั้น ในการตัดสินคดีของศาลก็ควรจะดำเนินการอย่างรวดเร็วและเฉียบขาดด้วย เพื่อเป็นการสนับสนุนการปฏิบัติงานของฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารทางอ้อมให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น
๓. ระหว่างอำนาจของประชาชนกับอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ
๓.๑ ประชาชนกับฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร
มีคำกล่าวหนึ่งซึ่งผู้เขียนเคยได้ยินมานานแล้ว คือ “ตัวแทนคนกลุ่มไหนย่อมสะท้อนถึงพฤติกรรมของคนกลุ่มนั้น ” หากคิดไตร่ตรองดูให้ดี จะเห็นว่ามีมูลความจริงอยู่ไม่น้อย ถ้าสังคมไหนคนส่วนใหญ่เห็นว่า ประโยชน์ส่วนรวมต้องมาก่อนประโยชน์ส่วนตน คนที่ได้รับเลือกตั้งก็จะเป็นคนที่เห็นประโยชน์ต่อส่วนรวมมากกว่าส่วนตน ในทางตรงข้ามหากสังคมไหนคนส่วนใหญ่เห็นประโยชน์ส่วนตนมากกว่าส่วนรวม แน่นอนว่าตัวแทนของเขาก็น่าจะเป็นคนเช่นนั้นเช่นกัน บ่อยครั้งที่ผู้เขียนเคยได้ยินคนบ่นถึงพฤติกรรมของตัวแทนที่มาจากการเลือกตั้งไม่ว่าระดับใดในทางลบ ผู้เขียนก็จะฉุกคิดถึงคำพูดดังกล่าวเสมอ ก็เพราะคนส่วนใหญ่ในสังคมของเราเป็นอย่างนั้น (อาจรวมถึงคนบ่นด้วย) คนอย่างนั้นถึงได้รับเลือกเข้าไป ก็เพราะคนส่วนใหญ่เห็นแก่เงินเห็นแก่พวกพ้อง ตัวแทนที่เลือกเข้าไปจึงจ้องแต่จะหาผลประโยชน์และเล่นพรรคเล่นพวก แล้วเราจะไปโทษใครล่ะ
เนื่องจากตามระบอบประชาธิปไตย ทั้งฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารจะมีที่มาจากประชาชน ดังนั้น หากประชาชนส่วนใหญ่มีคุณภาพ ย่อมเป็นหลักประกันได้ว่า ฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร น่าจะมีคุณภาพตามไปด้วย ในทางตรงข้าม หากประชาชนไม่มีคุณภาพ ไม่มีจิตสำนึกต่อส่วนรวมที่มากพอ ตัวแทนที่เลือกเข้าไปทำหน้าที่ในฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร ย่อมมีปัญหา ย่อมขาดประสิทธิภาพตามไปด้วยเช่นกัน
นอกจากนั้น ผู้เขียนยังเห็นว่า ประชาชนทุกหมู่เหล่าต้องช่วยกันเป็นหูเป็นตา คอยสอดส่องดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารอย่างใกล้ชิด หากพบเห็นการกระทำใดที่ไม่ถูกไม่ต้อง ก็ต้องพยายามยื่นมือเข้าไปมีส่วนในการช่วยเหลือ แก้ไขปัญหา อย่างเช่น กรณีประชาชนในกลุ่มที่เป็นข้าราชการ ต้องไม่ยึดถือคำพูดที่ว่า “ไม่ฆ่าน้อง ไม่ฟ้องนาย ไม่ขายเพื่อน” เพราะแท้จริงแล้ว คำพูดดังกล่าว เป็นข้ออ้างของคนขี้ขลาด ที่คิดถึงแต่ตัวเอง โดยไม่คิดถึงส่วนรวม ฉันไม่ฆ่าน้องไม่ว่ามันจะชั่วจะเลวจะทำให้ส่วนรวมเสียหายอย่างไรก็ตาม เพราะเดี๋ยวสังคมจะมองว่า ฉันเป็นคนไม่มีน้ำใจ ฉันไม่ฟ้องนาย แม้ว่า ฉันจะเห็นอะไรผิด ๆทำให้ส่วนรวมเสียหายก็ตาม เพราะเดี๋ยวสังคมจะมองว่า ฉันเป็นคนขี้ฟ้อง ชอบให้ร้ายคนอื่น ฉันไม่ขายเพื่อน แม้เพื่อนมันจะชั่วจะเลวยังไงก็ตาม เพราะเดี๋ยวสังคมจะมองว่าฉันเป็นคนที่ทรยศเพื่อนฝูงคบไม่ได้ ผู้เขียนเห็นว่า หากทุกคนคิดอย่างนั้น สังคมเราจะอยู่ได้อย่างไร
๓.๒ ประชาชนกับฝ่ายตุลาการ
มีคนเปรียบเทียบกันว่า การทำหน้าที่ของนักกฎหมายก็เปรียบเสมือนกับการรักษาคนไข้ของแพทย์ แพทย์จะสามารถวินิจฉัยโรคได้อย่างถูกต้อง และสามารถรักษาคนไข้ให้หายได้ ก็ต่อเมื่อได้รู้ข้อเท็จจริงต่าง ๆเกี่ยวกับอาการป่วยของคนไข้ ดังนั้น จึงเป็นหน้าของคนไข้ที่จะต้องให้ข้อมูลที่เป็นจริงกับแพทย์ ปวดหัวก็ต้องบอกว่าปวดหัว ไม่ใช่ไปบอกว่าปวดท้อง เคยมีอาการแพ้ยา หรือมีโรคประจำตัวใด ก็ต้องบอกให้แพทย์ได้รับรู้ เพื่อแพทย์จะได้รักษาได้อย่างถูกต้อง งานเกี่ยวกับด้านคดีความก็เช่นกัน หากประชาชนคนใดถูกฟ้องต่อศาล ก็ต้องบอกความจริงกับศาลว่า พฤติการณ์การกระทำความผิดเป็นอย่างไร และเหตุใดตนเองถึงทำผิด เพื่อศาลจะได้วินิจฉัยคดี หรือใช้ดุลพินิจในการกำหนดโทษได้อย่างถูกต้องหรือเหมาะสมกับความผิดที่ทำลงไป อย่างเช่น คดีฆ่าคนตาย ส่วนใหญ่แล้ว หากไม่ใช่มือปืนรับจ้าง จำเลยกับคนตายต้องมีเรื่องทะเลาะขัดแย้งหรือมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน บางครั้งหากพูดความจริงกับศาลก็อาจไม่ต้องรับโทษเลยก็ได้ เพราะเป็นเรื่องของการป้องกันตัวโดยชอบตามกฎหมาย หรืออาจได้รับโทษเพียงเล็กน้อย เพราะเป็นเรื่องของการกระทำโดยบันดาลโทสะ แต่ถ้าจำเลยไม่พูดความจริงต่อศาลและพยายามปกปิดความจริง จำเลยอาจต้องได้รับโทษถึงขั้นประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิตเลยก็ได้
นอกจากนั้น ผู้เขียนยังเห็นว่า สิ่งสำคัญสูงสุดอีกประการหนึ่งที่จะช่วยส่งผลทำให้ฝ่ายตุลาการสามารถตัดสินคดีความได้อย่างถูกต้องและเป็นธรรมก็คือ ข้อเท็จจริงตามคำให้การของพยานที่เคยให้ไว้ต่อพนักงานสอบสวนหรือที่เบิกความต่อศาล หากพยานที่เกี่ยวข้อง พูดความจริง แน่นอนว่า การตัดสินคดีของศาลย่อมถูกต้อง แต่หากพยานให้การเท็จ พยายามปกปิดความจริง ก็แน่นอนเช่นกันว่า ย่อมต้องส่งผลต่อการตัดสินคดีของศาลไม่มากก็น้อย บางครั้งอาจถึงขนาดทำให้การตัดสินคดีของศาลผิดพลาดไปเลยก็เป็นได้
กล่าวโดยสรุปก็คือ ในการใช้อำนาจอธิปไตยนั้น ไม่ว่าจะเป็นอำนาจนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ หรือ ประชาชน ต้องมีความสัมพันธ์สอดคล้องกัน หากการใช้อำนาจของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีปัญหาย่อมส่งผลกระทบต่ออำนาจของฝ่ายอื่น ๆอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างเช่น การปฏิวัติหรือรัฐประหารที่ผ่านมา จะเห็นว่า มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน คือ ประชาชนมีปัญหาเรื่องการศึกษา เรื่องของความเข้าใจหรือจิตสำนึกในอุดมการณ์ประชาธิปไตย อุดมการณ์เพื่อส่วนรวม จึงส่งผลให้ตัวแทนของประชาชนที่ได้รับเลือกตั้งไปทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร มีลักษณะปัญหาในทำนองเดียวกันดังกล่าวด้วย เมื่อฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารสร้างปัญหาให้กับชาติบ้านเมืองมากขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงขั้นวิกฤต ฝ่ายทหารก็จะใช้เป็นข้ออ้างในการเข้าไปยึดอำนาจ ซึ่งก็แน่นอนว่า ย่อมส่งผลกระทบถึงฝ่ายตุลาการอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะส่วนใหญ่แทบทุกครั้งที่มีการยึดอำนาจ ฝ่ายบริหารมักจะถูกกล่าวหาว่า ทุจริต หรือประพฤติมิชอบเสมอ จึงเป็นหน้าที่ของฝ่ายตุลาการที่จะต้องวินิจฉัยชี้ขาดว่า เป็นจริงหรือไม่ อย่างไร อย่างไรก็ตาม ในโลกของยุคโลกาภิวัฒน์ ซึ่งค่านิยมของคำว่า “ประชาธิปไตย” ได้แผ่ขยายครอบคลุมไปทุกหย่อมหญ้า เมื่อทหารยึดอำนาจได้แล้ว จึงไม่สามารถรักษาอำนาจไว้ได้ ท้ายที่สุดก็ต้องจำยอมมอบอำนาจคืนให้กับประชาชน แต่เมื่อประชาชนยังไม่พร้อมและยังมีปัญหาอยู่ ก็จะเลือกตัวแทนที่มีปัญหาอีกเช่นเดิม และสุดท้ายก็เข้าไปสร้างเงื่อนไขให้ฝ่ายทหารใช้เป็นข้ออ้างในการยึดอำนาจอีก จนอาจกล่าวได้ว่า เป็นวงจรอุบาทก์ของสังคมไทยเลยก็ว่าได้
ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของปวงชนชาวไทยทุกคน ทุกภาคส่วน ทุกสถาบัน ทุกองค์กร ในการที่จะช่วยกันแก้ไขปัญหา ร่วมมือร่วมใจกัน และก้าวเดินไปพร้อม ๆกัน ส่งเสริมสนับสนุน ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน และขณะเดียวกันก็ต้องคานดุลตรวจสอบซึ่งกันและกันไปด้วย สังคมไทยจึงจะอยู่ด้วยกันอย่างร่มเย็นเป็นสุข และยั่งยืนตลอดไป./
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น