โดย...โสต สุตานันท์
สืบเนื่องจากผู้เขียนได้อ่านบทความเรื่อง “ ความคิดเห็นของผู้พิพากษาไทยกับทางเลือกในการสรรหาคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.) “ ในนิตยสาร ดุลพาห เล่ม ๒ ปีที่ ๕๐ พฤษภาคม – สิงหาคม ๒๕๔๖ และเล่ม ๓ ปีที่ ๕๐ กันยายน – ธันวาคม ๒๕๔๖ ซึ่งเขียนโดย ท่านอินทิรา ฉิวรัมย์ ในฐานะผู้พิพากษาคนหนึ่งซึ่งมีส่วนได้เสีย จึงขอร่วมวงเสวนาเกี่ยวกับปัญหาเรื่องดังกล่าวด้วยคนหนึ่ง เผื่อว่าความเห็นของผู้เขียนอาจจะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมบ้าง อย่างน้อยที่สุดก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าความคิดความเห็นของผู้เขียนจะมีส่วนช่วยก่อให้เกิดแนวความคิด ความเห็นที่แตกต่างหลากหลาย อันจะนำไปสู่การพัฒนาปรับปรุงระบบหรือขั้นตอนวิธีการในการสรรหา ก.ต. ในอนาคต ให้มีรูปแบบที่ดีที่สุด เหมาะสมที่สุด เป็นที่ยอมรับของทุกคนทุกฝ่ายต่อไป
ก่อนอื่นต้องขอเรียนผู้อ่านในเบื้องต้นก่อนว่า ผู้เขียนเป็นผู้พิพากษาธรรมดา ๆคนหนึ่ง ไม่เคยมีเกียรติประวัติดีเด่นอะไร ไม่ว่าจะด้านการศึกษาหรือด้านอื่นใด ทั้งไม่ได้เรียนจบปริญญาโทหรือปริญญาเอกไม่ว่าจะในประเทศหรือต่างประเทศ หากจะเปรียบเทียบ บทความนี้คงเป็นการนำเสนอในรูปแบบทำนองภูมิปัญญาชาวบ้านมากกว่า พูดถึงเรื่องการศึกษา ผู้เขียนขออนุญาตนอกเรื่องสักเล็กน้อย เนื่องจากก่อนเข้ามาเป็นผู้พิพากษา ผู้เขียนเคยรับราชการมาแล้ว ๓ กระทรวง โดยส่วนใหญ่จะทำงานอยู่ในส่วนภูมิภาค จากการสังเกตระบบราชการไทยมักจะมีปัญหาที่สำคัญอย่างหนึ่ง คือ ข้าราชการที่มีบทบาทในการกำหนดนโยบายหรือมีส่วนร่วมในการวางแผนงาน โครงการเรื่องต่าง ๆส่วนใหญ่มักจะเป็นคนที่เรียนจบสูง ๆระดับปริญญาโท – ปริญญาเอก หลายคนจบจากต่างประเทศ ปรากฏว่านโยบาย หรือแผนงานโครงการ ต่าง ๆที่ท่านคิดขึ้นมามักจะมีต้นแบบหรือแบบอย่างมาจากต่างประเทศ ซึ่งเมื่อนำไปสู่ภาคปฏิบัติแล้ว หลายเรื่องก่อให้เกิดปัญหา
จากประสบการณ์ที่ผ่านมา เกือบทุกหน่วยงาน สิ่งที่เคยได้ยินได้ฟังประจำก็คือ เสียงบ่นจากข้าราชที่อยู่ในส่วนของภาคปฏิบัติ อาทิ เช่น “ มันทำตามแผนไม่ได้ เรายังไม่พร้อม มันไม่เหมาะสมกับนิสัยคนไทย มันไม่สอดคล้องกับประเพณีวัฒนธรรมสังคมไทย ผู้เขียนแผนไม่รู้ซึ้งถึงรากเหง้าแห่งปัญหาที่แท้จริงของสังคมไทย ของข้าราชการไทย ฯลฯ ” ท้ายที่สุดโครงการนั้นก็ล้มเหลวหรือได้ผลไม่สมบูรณ์เต็มเม็ดเต็มหน่วย เกี่ยวกับปัญหาดังกล่าว ผู้เขียนมีตัวอย่างเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ ตอนเรียนจบเนติบัณฑิตใหม่ ๆผู้เขียนรู้สึกภูมิใจในตัวเองมาก คิดว่าบัดนี้เราเป็น “ นักกฎหมาย ” เต็มตัวแล้ว แต่ปรากฏว่า อีกไม่กี่วันต่อมา หลังจากผู้เขียนได้มีโอกาสเข้าร่วมงานเลี้ยง “สโมสรสันนิบาต “ ที่สำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภาจัดขึ้น ความรู้สึกที่ว่า เราเป็นนักกฎหมายเต็มตัวแล้ว เริ่มคลอนแคลน หวั่นไหว ไม่ค่อยจะมั่นใจในตัวเองอีกต่อไป เหตุผลเพราะว่า งานวันนั้นมีการเลี้ยงอาหารฝรั่ง เท่าที่สังเกตเพื่อน ๆที่นั่งร่วมโต๊ะเดียวกันประมาณ ๑๐ คน น่าจะไม่มีใครเคยกินอาหารฝรั่งชนิดเต็มรูปแบบ มีอุปกรณ์ครบชุดมาก่อน แน่นอนรวมทั้งผู้เขียนด้วย ทั้งมีด ทั้งช้อน ทั้งซ่อมวางเต็มไปหมด ผู้เขียนคิดว่า งานเลี้ยงดังกล่าวคงมีเนติบัณฑิตหลายคนที่มีความรู้สึกเช่นเดียวกับผู้เขียน คือ การกินอาหารมื้อนั้น เป็นการกินที่ยุ่งยากที่สุดและไม่อร่อยที่สุดในชีวิต แต่ความรู้สึกอีกอย่างหนึ่งซึ่งผู้เขียนไม่แน่ใจว่า จะมีใครคิดมากเหมือนผู้เขียนหรือเปล่า หลังจากงานเลี้ยงเลิก ผู้เขียนถามตัวเองว่า เอ๊ะนี่เราเป็น “ นักกฎหมาย ” หรือ “ นักลอกเลียนแบบ ” กันแน่ ประมวลกฎหมายต่าง ๆเราก็ลอกเขามา ตำรับตำราหลายเล่มแปลมาจากภาษาต่างประเทศ ปรมาจารย์ด้านกฎหมายที่สอนเราหลายท่านก็เรียนจบมาจากต่างประเทศ จุดประสงค์ในการจัดตั้งเนติบัณฑิตยสภารวมทั้งรูปแบบการจัดงานเลี้ยงสโมสรสันนิบาต เราก็เลียนแบบมาจากอังกฤษ แม้กระทั่งอาหารบนโต๊ะเราก็เลียนแบบเขา แล้วมีอะไรที่เป็นของเราบ้างนี่
ด้วยความเคารพและด้วยความเกรงใจเป็นอย่างสูง ผู้เขียนไม่เห็นด้วยที่เราเลี้ยงอาหารฝรั่งในงานดังกล่าว ผู้เขียนคิดว่าเราเป็นคนไทยเราต้องภูมิใจในความเป็นไทย ต้องภูมิใจในชาติกำเนิด ภูมิใจในบรรพบุรุษ อาหารไทยมีรสชาดอร่อยโด่งดังไปทั่วโลก ในงานที่สำคัญต่อชีวิตนักกฎหมายอย่างนั้น ทำไมเราต้องไปกินอาหารฝรั่ง จะอ้างว่า เพื่อฝึกให้เนติบัณฑิตเข้าร่วมงานในสังคมชั้นสูงได้ ก็เป็นเหตุผลที่บางเบาไร้น้ำหนักเหลือเกิน ที่สำคัญสถานการณ์อย่างนั้น ไม่น่าจะใช่เวลาที่เราจะมาฝึกอะไรกัน หากใครคิดจะฝึก มีเวลา มีสถานที่ที่จะให้ฝึกในภายหลังมากมาย ยุคหนึ่งสมัยหนึ่ง พิธีการหรือการกระทำใด ๆอาจเหมาะสมกับยุคสมัยนั้น ๆ แต่เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไป สถานการณ์เปลี่ยนไป บางสิ่งบางอย่างอาจไม่เหมาะสมที่จะยึดถือเป็นแนวปฏิบัติอีกต่อไป
จากตัวอย่างในจุดเล็ก ๆดังกล่าว โดยเนื้อหาสาระคงไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร แต่หากคิดให้ลึกซึ้ง ผู้เขียนเห็นว่า มันเป็นอุทาหรณ์ที่สะท้อนให้เห็นภาพของวิธีคิดและสะท้อนให้เห็นถึงเหตุแห่งปัญหาของสังคมไทยในหลาย ๆเรื่องได้ดีเลยทีเดียว ผู้อ่านลองหลับตานึกดูภาพในเรื่องอื่น ๆดูซิ เรื่องกฎหมายรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง องค์กรอิสระต่าง ๆ การพิจารณาคดีต่อเนื่อง ฯลฯ หรือแม้แต่เรื่องการสรรหา ก.ต. ซึ่งเป็นหัวข้อที่ผู้เขียนจะแสดงความคิดเห็นต่อไปในบทความนี้ ผู้เขียนไม่ปฏิเสธว่า ความรู้ ความก้าวหน้าทางวิทยาการหรือเทคโนโลยีด้านต่าง ๆของต่างประเทศหลายเรื่อง เป็นสิ่งที่ดีมีประโยชน์ เป็นสิ่งจำเป็นที่เราต้องเรียนรู้จากเขา แต่บางสิ่งบางอย่างมันไม่จำเป็น เราก็ไม่น่าจะเอามา เราน่าจะพยายามรักษาความเป็นเอกลักษณ์ รักษาจิตวิญญาณของเราให้คงไว้ หากจำเป็นต้องเอาของเขามา ก็ไม่ใช่เอามาทั้งดุ้น เราต้องนำมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับสภาวะเงื่อนไขและข้อจำกัดต่าง ๆของสังคมบ้านเรา
จริง ๆแล้วคงไม่มีใครผิดใครถูกหรอก เพราะประสบการณ์ในการเรียนรู้ ในการดำเนินชีวิต ในการแก้ไขปัญหา ของแต่ละคนมีที่มาที่ไปแตกต่างกัน ในมุมมองของผู้เขียน วิธีแก้ไขปัญหาที่ดีที่สุดน่าจะได้แก่ การพยายามสร้างระบบร่วมกันคิดร่วมกันทำที่มีประสิทธิภาพในระหว่างผู้กำหนดนโยบายกับผู้ปฏิบัติ โดยต้องพยายามดึงเอาพลังสมองพลังปัญญาของบุคลากรทั้งหมดที่มีอยู่มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และที่สำคัญต้องพยายามสร้างระบบการตัดสินใจที่ชัดเจนแน่นอนภายใต้หลัก “ ธรรมาภิบาล ” ผสมผสานกับหลักการพื้นฐานของคำว่า “ ประชาธิปไตย ” (ในความหมายและขอบเขตที่เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพสังคมไทย)
ออกนอกเรื่องไปเสียยาว ขออนุญาตวกกลับมาพูดถึงเรื่องการสรรหา ก.ต. นะครับ ในเบื้องต้นผู้เขียนขอแสดงทรรศนะก่อนว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มีสองด้านเสมอ คือ มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ไม่มีอะไรที่ดีโดยไม่มีเสียและไม่มีอะไรเสียโดยไม่มีดี แน่นอนว่าที่มาของ ก.ต. นั้น ไม่ว่าจะมาจากการเลือกตั้ง เป็นโดยตำแหน่ง หรือมาจากการแต่งตั้ง ก็มีทั้งผลดีและผลเสีย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยเงื่อนไขหลายประการ ซึ่งผู้เขียนขอไม่แสดงความเห็นในรายละเอียด ณ ที่นี้ จากหลักสัจธรรมดังกล่าว ทำให้ผู้เขียนคิดถึงคำว่า “ ทางสายกลางตามหลักพระพุทธศาสนา ” แนวคิดของผู้เขียนก็คือ เราจะนำรูปแบบวิธีการในการสรรหา ก.ต. แต่ละแบบมาผสมกลมกลืนกันอย่างไร ให้เหมาะสมที่สุด ก่อให้เกิดประโยชน์มากที่สุด และมีข้อเสียน้อยที่สุด เป็นที่ยอมรับของคนส่วนใหญ่ สำหรับ ก.ต. ที่เป็นโดยตำแหน่ง ๑ คน คือ ท่านประธานศาลฎีกา และ ก.ต.ที่มาจากการแต่งตั้งอีก ๒ คน คือ ผู้ทรงคุณวุฒิที่วุฒิสภาเป็นผู้เลือกนั้น ผู้เขียนคิดว่าน่าจะเหมาะสมแล้ว ทั้งที่ผ่านมาก็ยังไม่เคยปรากฏว่ามีประเด็นปัญหาต่อสาธารณชน จึงไม่ขอแสดงความคิดเห็น ที่มาของ ก.ต. ที่ผู้เขียนอยากจะเสนอความคิดเห็นก็คือ ก.ต.ที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นที่สนใจวิพากษ์วิจารณ์ของคนในสังคมขณะนี้ ไม่ว่าจะในแวดวงสำนักงานศาลยุติธรรมเองหรือสังคมภายนอก
จากประสบการณ์ที่ได้พบและเคยได้ยินได้ฟังมา รวมทั้งจากการอ่านผลการศึกษาวิจัยของท่าน อินทิรา ฉิวรัมภ์ พอจะสรุปสภาพปัญหาหลัก ๆของระบบการสรรหา ก.ต. ที่มาจากการเลือกตั้ง ในปัจจุบัน ดังนี้ คือ
๑. เนื่องจากปัจจุบันผู้พิพากษามีจำนวนมากกว่า ๓,๐๐๐ คน ทำให้ผู้มีสิทธิเลือกไม่รู้จักผู้ที่มีสิทธิได้รับเลือกดีพอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องข้อมูลเกี่ยวกับประวัติส่วนตัว ประวัติการทำงาน นิสัย ความประพฤติ ตลอดจนคุณสมบัติด้านอื่น ๆ
๒. เนื่องจากผู้พิพากษาศาลชั้นต้นมีจำนวนมากที่สุด จึงเป็นเสียงชี้ขาดว่าใครจะได้รับเลือกเป็น ก.ต. ซึ่งจากสภาพปัญหาตามข้อ ๑ จึงเป็นสาเหตุอย่างหนึ่งที่ก่อให้เกิดการ “ บล็อกโหวต ” หรือการจัดตั้งฐานเสียงขึ้น ผลก็คือ คนที่มีโอกาสได้รับเลือกอาจเป็น “นักเลือกตั้ง” ไม่ใช่นักบริหารที่แท้จริง
๓. การหาเสียงของผู้มีสิทธิได้รับเลือก เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม ขัดกับวัฒนธรรมองค์กร ขัดกับประเพณีปฏิบัติของผู้พิพากษา ทั้งยังเป็นบ่อเกิดของระบบอุปถัมภ์ ระบบบุญคุณต้องทดแทน จะคิดจะตัดสินใจอะไรก็จะคำนึงถึงฐานเสียงของตัวเองก่อน
๔. ก่อให้เกิดปัญหา ผู้อาวุโสน้อยปกครองผู้อาวุโสมาก
ผู้เขียนเห็นว่า การเมืองเป็นสิ่งที่แยกไม่ออกจากสังคมมนุษย์ มีมนุษย์ที่ไหนก็มีการเมืองที่นั่น มันเป็นธรรมชาติ เพราะการเมืองเป็นเรื่องของการประสานผลประโยชน์ เป็นการจัดระเบียบสังคมให้มนุษย์อยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข และมันเป็นสัญชาติญาณของการเอาตัวรอดของสัตว์โลก โดยเฉพาะสังคมที่มีการปกครองแบบประชาธิปไตย จะเห็นภาพของการเมืองอย่างชัดเจน ในทรรศนะของผู้เขียน คำว่า “ การเมือง ” นั้น ในมุมมองของคนในสังคมที่มีระดับการพัฒนาการทางจิตใจและปัญญาสูง การเมืองจะมีความหมายในทางบวก คือ หมายถึง การพยายามจัดสรรผลประโยชน์ในทุก ๆด้าน ทุก ๆเรื่อง ให้แก่ทุกคนทุกกลุ่มในสังคมอย่างเหมาะสมและเป็นธรรมให้มากที่สุด การตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆจึงต้องคำนึงถึงผลได้ผลเสียของทุกคนในสังคม ไม่ใช่เน้นหนักเฉพาะเพื่อประโยชน์ของตนเองหรือกลุ่มของตนเอง หากเรื่องใดแม้ตนเองจะต้องเสียแต่ถ้าเกิดประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่ในสังคมก็จำเป็นต้องยอมเสีย หากยึดหลักการดังกล่าวอย่างเคร่งครัด สุดท้ายทุกคนในสังคมก็จะได้มากกว่าเสีย สังคมย่อมมีแต่ความสงบสุข
แต่ในทางตรงกันข้าม ในมุมมองของคนในสังคมที่มีระดับพัฒนาการทางจิตใจและปัญญาไม่ดีเท่าที่ควร ความหมายของคำว่า การเมือง จะเป็นไปในทางลบ กล่าวคือ หมายถึง การพยายามแก่งแย่งแข่งขัน พยายามช่วงชิงผลประโยชน์ให้ตนเองหรือกลุ่มของตนเองให้มากที่สุด โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบหรือความเดือดร้อนของคนอื่น ซึ่งเมื่อต่างคนต่างแย่งชิงเอาเปรียบกัน ก็เป็นธรรมดาที่การแก่งแย่งแข่งขันย่อมรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ สุดท้ายทุกคนในสังคมก็จะเสียมากกว่าได้ สังคมย่อมมีแต่ความวุ่นวาย ไม่สงบสุข แน่นอนว่า “ การเมือง “ ที่ทุกคนทุกสังคมปรารถนา คือ การเมืองที่มีความหมายในทางบวก แต่ปัญหาก็คือว่า ขณะที่ทุกคนประสงค์ให้การเมืองมีความหมายในเชิงบวกในเชิงสร้างสรรค์ แต่บางครั้ง บางเวลา บางคนกลับพยายามประพฤติปฏิบัติในทางที่ก่อให้เกิดผลตรงกันข้าม
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเคยมีพระราชดำรัสตอนหนึ่งว่า “ ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครจะทำให้คนทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปรกติสุข เรียบร้อย จึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมคนดี ให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง และควบคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้ ” จากกระแสพระราชดำรัสดังกล่าว ผู้เขียนเห็นว่า แม้ “ระบบ” กับ “ตัวบุคคล” จะมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน แต่การมีระบบที่ดีย่อมเป็นหลักประกันในเบื้องต้นว่า จะช่วยส่งเสริมให้คนดีได้มีโอกาสเข้าไปบริหารบ้านเมืองในทุกระดับชั้นมากขึ้น
สำหรับระบบการสรรหา ก.ต. ที่มาจากการเลือกตั้งในปัจจุบันนั้น แม้กฎหมายจะบังคับใช้ได้ไม่นานนัก แต่จากผลการศึกษาวิจัยของท่านอินทิรา ฉิวรัมภ์ จะเห็นว่า มีอุปสรรคปัญหาและข้อบกพร่องหลายประการด้วยกัน ปัญหาบางเรื่องที่เกิดขึ้น ดูเผิน ๆเหมือนจะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ถ้าคิดดูให้ดี คิดให้ลึกซึ้ง จะเห็นว่ามันเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงปัญหาใหญ่หลวงที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตอีกไม่ช้า ผู้เขียนจึงเห็นว่า สำนักงานศาลยุติธรรมน่าจะทำการศึกษาและวิเคราะห์เรื่องนี้อย่างจริงจัง เพื่อพิจารณาหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นแล้วหรือที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเคยมีพระราชดำรัสอีกตอนหนึ่งว่า “……การดำรงรักษาชาติประเทศนั้น มิใช่หน้าที่ของบุคคลผู้ใดหมู่ใดโดยเฉพาะ หากแต่เป็นหน้าที่ของทุก ๆฝ่าย ทุก ๆคน ที่จักต้องร่วมมือกระทำพร้อมกันไป โดยสอดคล้องกัน เกื้อกูลกัน และมีจุดมุ่งหมาย มีอุดมคติร่วมกัน…….” ( จากหนังสือ “ แนวทางการปฏิบัติตามรอยพระยุคลบาท ” ซึ่งกระทรวงการคลังจัดทำขึ้น เนื่องในวโรกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาครบ ๖ รอบ ๕ ธันวาคม ๒๖๕๔๒ ) ผู้เขียนจึงใคร่ขอเสนอระบบและหลักเกณฑ์วิธีการในการสรรหา ก.ต. ที่มาจากการเลือกตั้งดังนี้ คือ
๑. ผู้มีสิทธิเลือก ก.ต. - เห็นว่า ผู้มีสิทธิเลือกแต่ละคนน่าจะมีสิทธิเลือกได้เฉพาะ ก.ต. ที่เป็นตัวแทนของชั้นศาลที่ผู้มีสิทธิเลือกแต่ละคนดำรงตำแหน่งอยู่เท่านั้น กล่าวคือ ผู้พิพากษาที่ดำรงตำแหน่งในศาลฎีกา ก็มีสิทธิเลือกได้เฉพาะกลุ่ม ก.ต. ที่เป็นตัวแทนของศาลฎีกา ผู้พิพากษาที่ดำรงตำแหน่งในศาลอุทธรณ์ ก็มีสิทธิเลือกได้เฉพาะกลุ่ม ก.ต. ที่เป็นตัวแทนของศาลอุทธรณ์ และ ผู้พิพากษาที่ดำรงตำแหน่งในศาลชั้นต้น ก็มีสิทธิเลือกได้เฉพาะกลุ่ม ก.ต. ที่เป็นตัวแทนของศาลชั้นต้น นอกจากนั้นยังเห็นว่า ผู้มีสิทธิเลือก ก.ต. ในแต่ละชั้นศาล ควรจะแบ่งย่อยออกไปอีกเป็นกลุ่ม ๆตามความเหมาะสม โดยแต่ละกลุ่มก็จะมีสิทธิเลือกได้เฉพาะ ก.ต. ที่เป็นตัวแทนของกลุ่มตนเองเท่านั้น ตัวอย่างเช่น
ก. ในชั้นศาลฎีกา อาจกำหนดให้กลุ่มรองประธานศาลฎีกากับผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกามีสิทธิเลือก ก.ต. ได้ ๒ คน และกลุ่มผู้พิพากษาศาลฎีกามีสิทธิเลือก ก.ต. ได้ ๒ คน
ข. ในชั้นศาลอุทธรณ์ อาจกำหนดให้กลุ่มอธิบดีและรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์กับอธิบดีและรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาคมีสิทธิเลือก ก.ต. ได้ ๑ คน กลุ่มผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์ มีสิทธิเลือก ก.ต. ได้ ๑ คน และกลุ่มผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์มีสิทธิเลือก ก.ต. ได้อีก ๒ คน
ค. ในศาลชั้นต้น อาจกำหนดให้กลุ่มอธิบดีกับรองอธิบดี มีสิทธิเลือก ก.ต. ได้ ๑ คน กลุ่มผู้พิพากษาหัวหน้าศาล มีสิทธิเลือก ก.ต. ได้ ๑ คน กลุ่มผู้พิพากษาหัวหน้าคณะ มีสิทธิเลือก ก.ต. ได้ ๑ คน และกลุ่มผู้พิพากษาทั่วไป มีสิทธิเลือก ก.ต. ได้อีก ๑ คน
เหตุผลง่าย ๆก็คือ คนในแต่ละกลุ่มย่อมรู้จักคนในกลุ่มตัวเองเป็นอย่างดีว่า ใครเป็นอย่างไร มีความรู้ความสามารถแค่ไหน มีคุณสมบัติเหมาะสมที่สมควรจะเลือกเป็นตัวแทนหรือไม่ เพราะรู้จักใกล้ชิดกันมาตลอด เหตุผลที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ ไม่ว่าจะเป็น ก.ต.ชุดใด เราจะได้ตัวแทนจากแต่ละกลุ่มที่แน่นอนชัดเจน ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการระดมความคิดเห็นและการตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม หรือแม้แต่ในเรื่องเกี่ยวกับส่วนได้ส่วนเสียเฉพาะของแต่ละกลุ่ม ตัวแทนของคนกลุ่มไหนก็น่าจะสะท้อนถึงปัญหาและความต้องการของคนกลุ่มนั้นได้ดีที่สุด โดยเฉพาะตัวแทนในกลุ่มผู้พิพากษาชั้นผู้น้อยของศาลชั้นต้น ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ ผู้เขียนคิดว่า มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ควรจะมี เพราะโลกยุคปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงที่เร็วมาก บางครั้งผู้ใหญ่กับเด็กอาจมีมุมมองปัญหาที่แตกต่างกัน บางครั้งผู้ใหญ่ที่พ้นจุดของปัญหาที่ตนเองได้รับผลกระทบไปแล้ว อาจไม่เห็นความสำคัญของปัญหา ตัวแทนของผู้พิพากษาชั้นผู้น้อยจึงมีประโยชน์ในการสะท้อนถึงปัญหาต่าง ๆความต้องการต่าง ๆให้ผู้ใหญ่ได้รับทราบ และที่สำคัญผู้เขียนคิดว่า น่าจะเป็นการสร้างบุคลากรหนุ่ม ๆ สร้างคนรุ่นใหม่ รุ่นต่อรุ่น ให้มีโอกาสได้เรียนรู้ ได้สร้างสมประสบการณ์ในการทำงาน เพื่อเตรียมคนสำหรับทดแทนคนรุ่นเก่าที่พ้นตำแหน่งไป
๒. ผู้มีสิทธิได้รับเลือกเป็น ก.ต. - เห็นว่า ควรจะเปิดให้สมัครรับเลือกตั้งไปเลย เหตุผลเพราะว่า เพื่อจะได้มีความชัดเจน ผู้เลือกจะได้รู้และมั่นใจว่า คนที่เขาเลือกมีความเต็มใจ สมัครใจที่จะทำงาน อีกทั้งจำนวนคนที่เป็นตัวเลือกจะได้แคบเข้ามา คะแนนจะได้ไม่กระจัดกระจายเป็นเบี้ยหัวแตกเหมือนที่ผ่านมา สำหรับคุณสมบัติของผู้มีสิทธิสมัครนั้น เห็นว่า ทุกคนในแต่ละกลุ่มควรจะมีสิทธิสมัครได้ เว้นแต่ ก.ต. ที่เป็นตัวแทนผู้พิพากษาในศาลชั้นต้นในกลุ่มผู้พิพากษาทั่วไป อาจกำหนดเงื่อนไขเรื่องอาวุโสในการทำงานตามความเหมาะสม เช่น อาวุโส ๑๐๐ คนแรก หรือ คนที่มีอายุราชการ ๙ ปี หรือ ๑๐ ปี ขึ้นไป เป็นต้น
๓. การหาเสียง - จากการศึกษาวิจัยของอาจารย์อินทิรา ฉิวรัมภ์ ผลสรุปออกมาอย่างชัดเจนว่า ผู้พิพากษาส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการเปิดโอกาสให้มีการหาเสียงไม่ว่าจะในรูปแบบใด เหตุผลสำคัญก็คือ การหาเสียงเป็นบ่อเกิดของระบบอุปถัมภ์ ระบบบุญคุณต้องทดแทน เพราะเป็นธรรมดาที่หากใครหาเสียงไว้อย่างไร ถ้าได้รับเลือกก็ต้องทำตามที่หาเสียงไว้ ซึ่งหากเรื่องที่หาเสียงเป็นประโยชน์ของคนส่วนใหญ่และเป็นประโยชน์ต่อสังคมในภาพรวมก็ดีไป แต่หากเรื่องนั้นเป็นประโยชน์ต่อเฉพาะคน เฉพาะกลุ่ม แต่เกิดผลเสียต่อส่วนรวมก็จะเป็นเรื่องเสียหาย จากการสังเกตการเลือกตั้งในประเทศไทยไม่ว่าจะในระดับใด การหาเสียงที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ก็คือ การเสนอให้ผลประโยชน์ตอบแทนต่อผู้มีสิทธิเลือกเฉพาะกลุ่มเฉพาะคนโดยตรง หากเป็นการหาเสียงในลักษณะขายนโยบายในภาพรวมไม่เฉพาะเจาะจงแล้ว ถ้าบุคคลนั้นไม่ได้สั่งสมชื่อเสียงและบารมีให้เป็นที่ประจักษ์ เป็นที่ยอมรับของสังคมมาอย่างยาวนาน คงยากที่จะได้รับเลือก แน่นอนว่า การหาเสียงก็มีข้อดีอยู่เหมือนกัน และการหาเสียงในทางที่ดี ในทางที่สร้างสรรค์ก็น่าจะมีประโยชน์และพึงได้รับการสนับสนุน แต่เมื่อมันอาจเป็นบ่อเกิดแห่งสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาและเรามีวิธีอื่นที่ดีกว่า ก็น่าจะตัดไฟเสียแต่ต้นลม
นอกจากนั้น ผู้เขียนยังเห็นว่า การเปิดโอกาสให้มีการหาเสียงในแวดวงตุลาการ เป็นภาพที่ไม่ค่อยจะเหมาะสม และไม่สง่างาม ภาพพจน์ของผู้พิพากษาในสายตาของสังคมคือ ผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ในนามพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ ผู้ทรงไว้ซึ่งความยุติธรรม ผู้ที่มีจิตใจที่หนักแน่นมั่นคง ดำรงชีวิตอย่างสมถะเรียบง่าย ไม่แก่งแย่งแข่งขันชิงดีชิงเด่นกัน ดังนั้น การแสดงออกถึงการอยากได้อยากเป็นจนเกินขอบเขตแห่งความพอดี จึงเป็นภาพที่สังคมยากที่จะทำใจรับได้ จริง ๆแล้วต้องยอมรับความจริงว่า ภาระหน้าที่ของศาลยุติธรรมเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาของสังคมนั้น ในด้านเนื้อหาสาระของงานที่ปฏิบัติไม่ได้มีความสำคัญมากกว่าองค์กรอื่นเลย เพราะลักษณะงานของศาลเป็นการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุของสังคม คนทำผิดไปแล้ว คนคดโกงกันแล้ว ความเสียหายเกิดขึ้นแล้ว แม้ศาลจะตัดสินคดีได้อย่างบริสุทธิ์ยุติธรรมดีเพียงใดก็ตาม ก็คงไม่สามารถเยียวยาความเสียหายซึ่งสูญเสียไปแล้วให้กลับคืนดังเดิมได้ ผู้เขียนเห็นว่า แท้จริงแล้ว ความสำคัญสูงสุดของสถาบันศาลอยู่ที่การเป็นที่พึ่งทางจิตใจของคนในสังคมมากกว่า องค์กรหรือสถาบันอื่น ๆที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมหากจะมีปัญหาในเรื่องความรู้ความสามารถ ความซื่อสัตย์สุจริตหรือความยุติธรรม ทำให้ขาดความน่าเชื่อถือไปบ้าง สังคมก็ยังพอทำใจทนรับได้ เพราะอย่างน้อยที่สุดสังคมก็ยังมีความรู้สึกว่า ยังมีศาลสถิตยุติธรรมอีกแห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่พึ่งสุดท้ายของประชาชน แต่ถ้าหากวันใด ประชาชนรู้สึกไม่มั่นใจ รู้สึกเคลือบแคลงสงสัยในบทบาทหน้าที่ของศาลแล้ว เชื่อได้เลยว่าสังคมนั้นจะสับสนวุ่นวายมากขึ้นเรื่อย ๆ และคงจะล่มสลายในไม่ช้า เพราะถ้ามีปัญหาข้อขัดแย้งไม่ว่าในเรื่องใด ๆเกิดขึ้นแล้วประชาชนไม่รู้จะไปไหน เนื่องจากไม่มีสถานที่ใดที่เขามั่นใจได้ว่าจะให้ความยุติธรรมแก่เขาได้ แน่นอนว่าเพื่อความอยู่รอด เขาก็ต้องพยายามแสวงหาความเป็นธรรมด้วยตัวเขาเอง ส่วนวิธีการเพื่อให้ได้มาซึ่งความเป็นธรรมนั้น ย่อมมีวิธีการที่หลากหลาย แตกต่างกันไป แล้วแต่กำลังกาย กำลังสติปัญญาของแต่ละคน รวมทั้งยังมีปัจจัยเงื่อนไขต่าง ๆที่เกี่ยวข้องอีกมากมาย จากเหตุและผลดังที่กล่าวมา ผู้เขียนจึงเห็นว่า นอกจากเรื่องความรู้ความสามารถ ความซื่อสัตย์สุจริต ความทรงไว้ซึ่งความยุติธรรมแล้ว ภาระหน้าที่ที่สำคัญมากของตุลาการอีกอย่างหนึ่งก็คือ การสร้างภาพพจน์ การสร้างภาพลักษณ์ที่ดีงาม น่าเลื่อมใสศรัทธา เป็นที่ยอมรับนับถือของประชาชน การรักษาไว้ซึ่งประเพณีปฏิบัติและวัฒนธรรมองค์กรที่ดีงามซึ่งบรรพตุลาการได้สั่งสมมาอย่างยาวนานจึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง การเปิดโอกาสให้หาเสียงได้ในการสรรหา ก.ต. จึงไม่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง
จากปัญหาเรื่องการหาเสียงในการสรรหา ก.ต. ดังกล่าว ผู้เขียนจึงเห็นว่า สำนักงานศาลยุติธรรม ควรจะเป็นตัวกลางรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับประวัติ ประสบการณ์ ผลงานในอดีต รวมทั้งวิสัยทัศน์ มุมมองแนวคิด หรือวิธีการแก้ไขปัญหาของผู้สมัครแต่ละคน แล้วนำออกเผยแพร่ด้วยวิธีการที่เหมาะสม จริง ๆแล้วผู้เขียนเห็นว่า ข้อมูลเกี่ยวกับตัวผู้สมัครที่น่าจะเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจของผู้มีสิทธิเลือกมากที่สุด น่าจะได้แก่ ผลงานในอดีตที่ผ่านมา การพูดหรือการเขียนถึงสิ่งดี ๆที่คิดจะทำนั้น จะแต่งแต้ม จะปรุงแต่งให้สวยหรู เลิศหรูอย่างไรก็ได้ แต่ไม่มีหลักประกันใด ๆว่า จะทำหรือสามารถจะทำตามที่พูดที่เขียนไว้ได้หรือไม่ แต่หากในอดีตบุคคลคนนั้นมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ ย่อมเป็นหลักประกันได้เป็นอย่างดีว่า อนาคตเขาน่าจะสร้างผลงานที่ดีเหมือนเช่นในอดีต ไม่ใช่ว่าอดีตที่ผ่านมาไม่มีผลงานที่สร้างสรรค์อะไรเลย นอกจากใจกว้าง ใจถึง ฮาไหนเฮนั่น ถึงไหนถึงกัน ก็คงยากที่จะฝากความหวังอนาคตศาลยุติธรรมไว้กับท่าน
จากรูปแบบวิธีการในการสรรหา ก.ต. ตามที่เสนอดังกล่าว ผู้เขียนเห็นว่า น่าจะช่วยแก้ไขปัญหาหลัก ๆของระบบการสรรหา ก.ต. ที่มาจากการเลือกตั้ง ในปัจจุบัน ดังที่กล่าวไว้ข้างต้นได้ ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ
๑. ปัญหาเรื่องผู้มีสิทธิเลือก ก.ต. ไม่รู้จักผู้ที่มีสิทธิได้รับเลือก อาจกล่าวได้ว่าแทบจะหมดไป เพราะมีการแบ่งกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกและผู้มีสิทธิได้รับเลือกไว้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะผู้พิพากษาชั้นศาลอุทธรณ์และชั้นศาลฎีกาซึ่งปฏิบัติงานร่วมกันมาอย่างยาวนาน ย่อมรู้จักมักคุ้นกันเป็นอย่างดี ส่วนศาลชั้นต้นในกลุ่มตั้งแต่ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลหรือผู้พิพากษาหัวหน้าคณะขึ้นไปก็เช่นกัน เพราะส่วนใหญ่ก็จะเป็นผู้ช่วยผู้พิพากษารุ่นเดียวกันหรือใกล้เคียงกัน จะมีก็แต่กลุ่มผู้พิพากษาทั่วไปซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ก็ไม่น่าจะมีผลเสียอะไรมากนัก เพราะตัวแทนกลุ่มนี้ตามระบบที่เสนอก็มีเพียงคนเดียว อีกทั้งปัจจุบัน เทคโนโลยีด้านข้อมูลข่าวสารมีประสิทธิภาพสูงมาก ใครเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมอย่างไร คงไม่ใช่เรื่องยากที่จะเสาะแสวงหาข้อมูลในเบื้องต้น
๒. ปัญหาเรื่องการ “บล็อกโหวต” หรือ การจัดตั้งฐานเสียง โดยสภาพน่าจะเกิดขึ้นได้น้อยมาก ด้วยเหตุผลทำนองเดียวกันกับข้อ ๑. ระบบการสรรหา ก.ต. ในปัจจุบัน ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นจะเป็นเสียงชี้ขาดว่าใครจะได้รับเลือกเป็น ก.ต. เพราะมีจำนวนมากที่สุด ดังนั้น จึงมีการพยายามบล็อกโหวตหรือจัดตั้งฐานเสียงในกลุ่มผู้พิพากษาศาลชั้นต้น ซึ่งที่ผ่านมาก็ต้องยอมรับความจริงว่า ได้ผลมากพอสมควร เหตุผลหนึ่งอาจจะเป็นเพราะว่า การรู้จักกับ ก.ต. เป็นการส่วนตัวหรือมีผู้นำกลุ่มที่รู้จักกับ ก.ต. เป็นอย่างดี ย่อมเป็นหลักประกันในการคุ้มครองสวัสดิภาพของตัวเองได้ในระดับหนึ่ง หากชีวิตต้องเกิดผิดพลาดในเรื่องใดเรื่องหนึ่งขึ้นมา หรือถ้ามีปัญหาขัดแย้งกับเพื่อนร่วมงานหรือผู้บังคับบัญชาในการปฏิบัติหน้าที่ ( ซึ่งต้องยอมรับความจริงเช่นกันว่า ในการปฏิบัติหน้าที่ของผู้พิพากษาในศาลชั้นต้นปัจจุบันมีปัจจัยเงื่อนไขต่าง ๆมากมาย ที่เป็นเหตุแห่งความขัดแย้ง ) อย่างน้อยก็มีที่ปรึกษาให้อบอุ่นใจ ผู้เขียนจึงเห็นด้วยกับงานศึกษาวิจัยของท่าน อินทิรา ฉิวรัมภ์ ที่สรุปว่า ระบบการสรรหา ก.ต. ปัจจุบันกลับกลายเป็นเวทีการเมืองและนำไปสู่การสถาปนาระบบอุมถัมภ์ขึ้นในองค์กรศาลยุติธรรม ซึ่งนับว่าเป็นสัญญาณที่อันตรายอย่างยิ่ง หากไม่รีบแก้ไขเชื่อว่าอีกไม่นานวิกฤตตุลาการรอบสองอาจเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า
๓. เกี่ยวกับปัญหาเรื่องการหาเสียงซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม ขัดกับประเพณีปฏิบัติของผู้พิพากษาและวัฒนธรรมองค์กรนั้น เห็นว่า เมื่อมีการแบ่งกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกและผู้มีสิทธิได้รับเลือกไว้อย่างชัดเจนตามรูปแบบที่ผู้เขียนเสนอ โดยสภาพแล้วปัญหาเรื่องนี้ย่อมลดน้อยลงไปดังเหตุผลตามข้อ ๑ อีกทั้งตามระบบที่เสนอ สำนักงานศาลยุติธรรมก็เป็นตัวกลางช่วยเหลือในเรื่องการประชาสัมพันธ์ข้อมูลผู้สมัครอยู่แล้ว ปัญหาเรื่องการหาเสียงจึงน่าจะหมดไป
๔. สำหรับปัญหาความรู้สึกของผู้พิพากษาในเรื่องผู้อาวุโสน้อยปกครองผู้อาวุโสมากนั้น เชื่อว่าตามระบบที่ผู้เขียนเสนอน่าจะช่วยลดความรู้สึกดังกล่าวได้มากเลยทีเดียว เพราะผู้พิพากษาแต่ละกลุ่มจะมั่นใจได้ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ว่ากลุ่มของตัวเองต้องมีตัวแทนอย่างน้อย ๑ คน แน่นอน สังคมไทยเป็นสังคมที่ให้การยอมรับในเรื่องอาวุโสค่อนข้างสูงโดยเฉพาะในวงการตุลาการนับว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง การสร้างกติกาโดยให้รองประธานศาลฎีกาแข่งขันกับผู้พิพากษาศาลฎีกาทุกคน ให้ประธานศาลอุทธรณ์และประธานศาลอุทธรณ์ภาคแข่งขันกับผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ทุกคน และให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้นแข่งขันกับผู้พิพากษาที่อยู่ใต้บังคับบัญชานั้น หากผู้ใต้บังคับบัญชาหรือผู้ที่มีอาวุโสน้อยกว่ามาก ๆเป็นผู้ชนะ แน่นอนว่า ย่อมมีผลกระทบต่อความรู้สึกพอสมควร โดยเฉพาะการสรรหา ก.ต. ในชั้นอุทธรณ์ วิธีการสรรหาเหมือนเช่นปัจจุบัน โอกาสที่ผู้อาวุโสน้อยกว่าจะมีสิทธิได้รับเลือกจะมีค่อนข้างสูง เพราะคนที่ขึ้นศาลอุทธรณ์ใหม่ ๆจะได้เปรียบ เนื่องจากมีผู้พิพากษาศาลชั้นต้นรู้จักและคุ้นเคยมากกว่า ระบบสรรหาตามที่ผู้เขียนเสนอจะช่วยแก้ปัญหาความรู้สึกในทางลบดังกล่าวได้ เพราะมีการสร้างกติกาให้แข่งขันกันในระหว่างผู้พิพากษาที่ดำรงตำแหน่งระดับเดียวกันหรือใกล้เคียงกัน การแพ้จึงไม่น่าจะมีผลกระทบต่อจิตใจหรือความรู้สึกมากเท่าไหร่
นอกจากนั้นผู้เขียนยังเห็นว่าการสรรหา ก.ต. ตามรูปแบบที่ผู้เขียนเสนอน่าจะเป็นการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างการให้เป็น ก.ต.โดยตำแหน่งกับการสรรหาโดยการเลือกตั้ง เพราะเรากำหนดให้ผู้มีสิทธิ์ได้รับเลือกมาจากกลุ่มตำแหน่งต่าง ๆแต่ละกลุ่มที่เท่ากันหรือใกล้เคียงกัน ทั้งยังน่าจะเป็นการผสมผสานที่ดีระหว่างระบบอาวุโสกับระบบความรู้ความสามารถ การสรรหา ก.ต. โดยการให้สมัครรับเลือกตั้งตามที่ผู้เขียนเสนอนั้น อาจจะดูเหมือนเป็นการขัดกับประเพณีปฏิบัติหรือวัฒนธรรมองค์กรศาลยุติธรรม แต่ผู้เขียนก็เห็นว่า บางครั้งบางเวลา บางสิ่งบางอย่างก็ต้องปรับเปลี่ยนไปเหมือนกัน เพื่อให้เหมาะสมกับยุคกับสมัย เพื่อให้สอดคล้องกับโลกกับสังคมที่เปลี่ยนแปลงและเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา การเปิดโอกาสให้สมัครรับเลือกตั้ง สมัยก่อนอาจเห็นว่าเป็นเรื่องไม่เหมาะสม แต่ด้วยเงื่อนไขปัจจัยต่าง ๆของภาวะสังคมปัจจุบัน ผู้เขียนเห็นว่า การสมัครรับเลือกตั้งไม่น่าจะเป็นเรื่องเสียหายอีกต่อไป การกล้าคิด กล้าทำ กล้าแสดงออกอย่างเปิดเผยในสิ่งที่ถูกต้องดีงาม เพื่อประโยชน์ส่วนรวม น่าจะเป็นสิ่งที่ควรได้รับการสนับสนุนจากสังคม แม้ในโลกของความเป็นจริง ถึงที่สุดแล้วคนเราทุกคนก็มีเป้าหมายเพื่อตัวเองกันทั้งนั้น แต่ผู้เขียนก็เห็นว่า จริง ๆแล้วประโยชน์ส่วนตนกับประโยชน์ส่วนรวมมันแยกกันไม่ออก ถ้าส่วนรวมดีเราก็ได้รับผลดีด้วย ถ้าส่วนรวมแย่เราย่อมได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากวิธีการที่ทำเพื่อตัวเองนั้นคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมก่อนหรือในขณะเดียวกันก็จะเป็นวิธีการที่สร้างสรรค์ แต่หากวิธีการนั้นคำนึงถึงประโยชน์ส่วนตนเป็นที่ตั้งโดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมเลยย่อมเป็นวิธีการที่ทำลาย ปัญหาที่ว่าคนเก่งคนดีมักจะไม่อยากลงสมัครรับเลือกตั้งนั้น ผู้เขียนเห็นว่า จริง ๆแล้วสาเหตุของปัญหาน่าจะเป็นเพราะความพิกลพิการของระบบมากกว่า ระบบที่ไม่ดีย่อมกีดกันไม่ให้คนเก่งคนดีมีโอกาสได้รับเลือก ระบบที่มีปัญหาย่อมเป็นอุปสรรคต่อการทำงานของคนเก่งคนดี หากมีการสร้างระบบการเลือกตั้งที่ดีมีประสิทธิภาพ เหมาะสมและเป็นธรรม เชื่อได้เลยว่า ต้องมีคนดีคนเก่งเสนอตัวสมัครรับเลือกตั้งอย่างแน่นอน เพราะธรรมชาติของคนดีย่อมพยายามหาโอกาสที่จะทำความดีอยู่แล้ว หากเขาประเมินว่าตัวเองเก่งพอที่จะทำดีได้ คงไม่ลังเลที่จะเสนอตัวให้เลือก นอกจากนั้น ผู้เขียนยังมีความเชื่อว่า มนุษย์ทุกคนมี ๒ ฟากอยู่ในตัวเสมอ คือ ด้านมืดกับด้านสว่างหรือด้านดีกับด้านไม่ดี ทุกคนมีรัก โลภ โกรธ หลง กันทั้งนั้น คนดีหรือไม่ดีน่าจะวัดกันตรงที่ใครสามารถควบคุมตัวเอง ควบคุมอารมณ์รัก โลภ โกรธ หลง ไม่ให้แสดงออกมาได้มากกว่ากัน หากใครควบคุมตัวเองได้มากก็เป็นคนดีมาก หากใครควบคุมตัวเองได้น้อยก็เป็นคนดีน้อย คนเราทุกคนอยากให้คนอื่นเห็นว่าเป็นคนดี เป็นคนมีคุณค่าและอยากให้คนอื่นรักคนอื่นชอบกันทั้งนั้น คงไม่มีใครอยากให้คนอื่นมองว่าเป็นคนไม่ดี ไร้ค่าหรืออยากให้คนอื่นเกลียด ดังนั้น หากเรามีระบบที่ดี สนับสนุนให้คนทำดีมีคุณค่าเป็นที่น่ายกย่องนับถือ คนที่เสนอตัวก็จะต้องพยายามทำแต่สิ่งดีๆพยายามเก็บฟากด้านมืดไว้และพยายามแสดงฟากด้านสว่างออกมาเพื่อให้ได้รับเลือกและเมื่อได้รับเลือกแล้วก็ต้องพยายามทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ผลที่สุดประโยชน์ก็ตกแก่ส่วนรวมและทุกคนในสังคม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สิ่งที่ต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งก็คือ คนที่เป็นฝ่ายเลือก ต้องมองคำว่า “ คนดี ” ให้ลึกซึ้งถึงแก่นแท้ของความดี หากมองคนดีแค่ผิวเผินเพียงว่า เขาจะทำอะไรให้เราบ้าง แทนที่จะมองว่าเขาจะทำอะไรให้ส่วนรวมบ้าง ต่อให้ระบบดีเลิศอย่างไร ก็คงยากที่จะเข้าถึงคำว่า “ ธรรมาภิบาล ” ได้ คำกล่าวที่ว่า “ ตัวแทนคนกลุ่มไหนย่อมสะท้อนถึงพฤติกรรมของคนกลุ่มนั้น ” หากคิดไตร่ตรองดูให้ดี จะเห็นว่ามีมูลความจริงอยู่ไม่น้อย ถ้าสังคมไหนคนส่วนใหญ่เห็นว่า ประโยชน์ส่วนร่วมต้องมาก่อนประโยชน์ส่วนตน คนที่ได้รับเลือกก็จะเป็นคนที่เห็นประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน ในทางตรงข้ามหากสังคมไหนคนส่วนใหญ่เห็นประโยชน์ส่วนตนมากกว่าส่วนรวม แน่นอนว่าตัวแทนของเขาก็น่าจะเป็นคนเช่นนั้น บ่อยครั้งที่ผู้เขียนเคยได้ยินคนบ่นถึงพฤติกรรมของตัวแทนที่มาจากการเลือกตั้งไม่ว่าระดับใดในทางลบ ผู้เขียนก็จะฉุกคิดถึงคำพูดดังกล่าวเสมอ ก็เพราะคนส่วนใหญ่ในสังคมของเราเป็นอย่างนั้น (อาจรวมถึงคนบ่นด้วย) คนอย่างนั้นถึงได้รับเลือกเข้าไป แล้วเราจะไปโทษใครล่ะ ค่านิยมของสังคมไทยที่น่าเป็นห่วงอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะในสังคมข้าราชการคือ ผู้บังคับบัญชาคนไหนที่ยืดหยุ่น ไม่เคร่งครัดในกฎกติกา พยายามช่วยเหลือปกป้องดูแลลูกน้องเป็นอย่างดีไม่ว่าจะผิดหรือถูก สังคมจะมองว่าเป็นคนที่มีน้ำใจ เป็นคนใจกว้าง ใจนักเลง และมีบารมี ในทางตรงกันข้ามผู้บังคับบัญชาคนไหนที่เคร่งครัดกับกฎติกา เคร่งครัดกับกฎระเบียบวินัยข้าราชการ ผิดเป็นผิดถูกเป็นถูก สังคมจะมองว่าเป็นคนใจแคบ เป็นคนไม่มีน้ำใจ เป็นคนที่สร้างปัญหาให้องค์กร ทั้ง ๆที่หากคิดดูให้ดีและมองปัญหาอย่างลึกซึ้งแล้ว จะเห็นว่า การบริหารงานบุคคลแบบผู้บังคับบัญชาประเภทแรก จะก่อให้เกิดผลเสียมากมายต่อสังคมในอนาคตระยะยาว ในทางตรงกันข้ามการบริหารงานบุคคลแบบผู้บังคับบัญชาประเภทหลัง ในระยะสั้นดูเหมือนจะเป็นคนเจ้าปัญหาแต่ระยะยาวกลับส่งผลในทางที่ดีมากกว่า ผู้เขียนขอยืนยันแนวคิดดังที่กล่าวข้างต้นว่า “ ทุกสิ่งทุกอย่างมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ” การยืดหยุ่นหรือการเคร่งครัดในกฎกติกาก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียในตัวมันเอง ทางออกที่ดีที่สุด ก็น่าจะยึดถือแนวทางตามหลักพระพุทธศาสนาดังกล่าวข้างต้นเช่นกันคือ “ การเดินทางสายกลาง ” เรื่องไหนควรยืดหยุ่น เรื่องไหนควรเคร่งครัด หรือสถานการณ์ไหนควรยืดหยุ่น สถานการณ์ไหนควรเคร่งครัด คงต้องพิจารณาในแต่ละเรื่องแต่ละกรณีไปตามความเหมาะสม แต่เหนือสิ่งอื่นใด สิ่งสำคัญที่สุดที่ควรจะต้องยึดถือเป็นหลักการ คือ การตัดสินใจในเรื่องใด ๆต้องคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง เพราะหากการตัดสินใจเรื่องใดเราคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมเป็นสำคัญ วิธีการการกระทำก็จะออกมาอย่างหนึ่ง แต่หากเราคำนึงถึงประโยชน์ส่วนตนหรือพวกตนเป็นใหญ่ วิธีการการกระทำก็จะออกมาอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งบางครั้งอาจตรงข้ามกันเลยก็ได้
อนึ่ง เกี่ยวกับการสรรหา ก.ต. นั้น นอกจากข้อเสนอข้างต้นแล้ว ผู้เขียนใคร่ขอเสนอข้อคิดเห็นเพิ่มเติมอีก ๒ ประการ คือ
๑. ปัจจุบันกฎหมายได้บัญญัติห้ามมิให้ผู้พิพากษาอาวุโสเป็น ก.ต. จึงน่าจะมีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายให้มี ก.ต. ที่เป็นตัวแทนของกลุ่มผู้พิพากษาอาวุโสเพิ่มอีกซัก ๑ คน ทั้งนี้เพื่อจะได้เป็นตัวแทนสะท้อนปัญหาและความต้องการของกลุ่มผู้พิพากษาอาวุโส อีกทั้งยังเห็นว่า ผู้พิพากษาอาวุโสเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ในการทำงานและผ่านประสบการณ์ชีวิตมาอย่างยาวนานหลายท่านเคยผ่านการดำรงตำแหน่งผู้บริหารที่สำคัญในหลายระดับ ดังนั้น การมีตัวแทนจากกลุ่มผู้พิพากษาอาวุโสใน ก.ต. จึงน่าจะมีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการทำงานในภาพรวมของ ก.ต.
๒. อุปสรรคปัญหาอีกอย่างหนึ่งเกี่ยวกับระบบการสรรหาของ ก.ต. ในปัจจุบัน คือ เนื่องจากฎหมายบัญญัติให้ ก.ต. พ้นจากตำแหน่งเมื่อพ้นจากตำแหน่งข้าราชการตุลาการในชั้นศาลที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในเวลาที่ได้รับเลือก ซึ่งผลที่ตามมาก็คือ ทำให้การทำงานของ ก.ต. ที่ครบกำหนดต้องเลื่อนชั้นศาลในขณะที่เป็น ก.ต. ไม่ถึง ๒ ปี ไม่ต่อเนื่อง มีการเลือกตั้งบ่อยครั้ง ผู้เขียนเห็นว่าเหตุที่กฎหมายบัญญัติให้ ก.ต. มีวาระอยู่ในตำแหน่งคราวละ ๒ ปี ก็น่าจะมีเจตนารมย์เพื่อให้ ก.ต. ที่ได้รับเลือกได้มีโอกาสทำงานในเวลาอันสมควรและต่อเนื่อง ตามหลักการก็ควรจะยึดถือเจตนารมย์ดังกล่าวไว้ ข้อยกเว้นควรจะมีเฉพาะกรณีมีเหตุผลจำเป็นจริง ๆเท่านั้น การให้ ก.ต.พ้นจากตำแหน่ง เพียงเหตุผลเพราะว่า มีการเลื่อนชั้นศาลที่สูงขึ้นนั้น ผู้เขียนเห็นว่าไม่น่าจะเป็นข้อยกเว้นที่มีน้ำหนักเหตุผลมากพอ เพราะไม่ว่า ก.ต.คนนั้นจะปฏิบัติหน้าที่อยู่ในชั้นศาลไหน ก็ถือได้ว่าเป็นตัวแทนในการทำงานเพื่อผู้พิพากษาทุกคนทุกชั้นศาลอยู่แล้ว การกำหนดจำนวน ก.ต. ในแต่ละชั้นศาล น่าจะมีวัตถุประสงค์เพียงเพื่อให้สัดส่วนของตัวแทนเป็นไปอย่างเหมาะสมในภาพรวมเท่านั้น จึงไม่ควรที่กำหนดกรอบแบบตายตัวไม่ยืดหยุ่น ซึ่งไม่น่าจะเกิดประโยชน์อะไรเลย นอกจากนั้น ยังเห็นว่าการที่กฎหมายบัญญัติให้ ก.ต. พ้นจากตำแหน่งเมื่อเลื่อนชั้นศาลเหมือนเช่นปัจจุบัน นอกจากจะทำให้การทำงานของ ก.ต. ไม่ต่อเนื่องแล้ว ยังเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงสภาพสังคมไทยที่มักมีการแบ่งกลุ่มแบ่งพวกอยู่แล้วให้ชัดเจนมากขึ้น การให้ ก.ต. ที่เลื่อนชั้นศาลดำรงตำแหน่ง ก.ต. ต่อไป จนครบวาระ ๒ ปี อย่างน้อยที่สุดก็น่าจะมีผลทางจิตวิทยาช่วยให้ความรู้สึกแบ่งแยกกลุ่มลดน้อยลงและเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างผู้พิพากษาในแต่ละชั้นศาลได้เป็นอย่างดี
ท้ายที่สุดนี้ ผู้เขียนเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งกับความเห็นของท่านอินทิรา ฉิวรัมภ์ ที่ว่า มาตรการการป้องกันการเข้าสู่ตำแหน่ง ก.ต. โดยมิชอบหรือขัดต่อวัฒนธรรมองค์กร เพื่อให้องค์กร ก.ต. สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างยึดมั่นบนหลักการที่ถูกต้อง ชอบธรรมนั้น วิธีการที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ก็คือ มาตรการควบคุมสังคมที่ไม่เป็นทางการ (Informal Social Control ) โดยองค์กรที่ทำหน้าที่ดังกล่าว คือ Professional Solidarity ผู้เขียนไม่ค่อยสันทัดเรื่องภาษาอังกฤษเท่าไหร่ ดังนั้น คำว่า Informal Social Control และคำว่า Professional Solidarity จะมีความหมายลึกซึ้งหรือมีขอบเขตเนื้อหาแค่ไหนเพียงใดคงจนปัญญาที่จะวิเคราะห์วิจารย์ ขออนุญาตเสนอมุมมองตามความหมายที่เป็นภาษาไทยก็แล้วกัน ในทรรศนะของผู้เขียน คำว่า มาตรการควบคุมสังคมที่ไม่เป็นทางการนั้น น่าจะมีความหมายที่กินความกว้างขวางยากที่จะกำหนดขอบเขตให้ชัดเจนได้และมาตรการดังกล่าวน่าจะเป็นมาตรการที่สามารถนำไปปรับใช้กับวิธีการแก้ไขปัญหาของสังคมในทุก ๆเรื่องด้วย ไม่เฉพาะแต่ปัญหาเรื่องการสรรหา ก.ต. เท่านั้น รูปแบบของมาตรการควบคุมสังคมที่ไม่เป็นทางการอย่างหนึ่ง ที่ผู้เขียนอยากจะเสนอก็คือ การมีเวทีให้คนในสังคมได้มีโอกาสแสดงความรู้สึก แสดงความคิดเห็น ในเรื่อง ต่าง ๆที่เกี่ยวข้อง ที่มีผลกระทบต่อคนในสังคมนั้น ๆอย่างกว้างขวางภายใต้เงื่อนไขหลักเกณฑ์และขอบเขตที่เหมาะสม ทั้งนี้เพื่อจะได้เป็นการระดมความคิด ระดมมันสมอง ของคนในสังคมให้ได้มากที่สุด เพื่อผลักดันสิ่งที่ดี ๆสิ่งที่ถูกต้องดีงามให้เกิดขึ้นในสังคม โดยวิธีการดังกล่าวจะช่วยทำให้ผู้มีอำนาจหรือผู้บริหารได้รับรู้ข้อมูล ได้รับแนวคิด ได้รับความเห็นที่แตกต่างหลากหลาย อันจะนำไปใช้ประโยชน์สำหรับประกอบการตัดสินใจแก้ไขปัญหาหรือกำหนดนโยบายในเรื่องต่าง ๆได้อย่างถูกต้องและเหมาะสมต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีมีปัญหาเรื่องหนึ่งเรื่องใดซึ่งคนส่วนใหญ่ในสังคมเห็นว่าเป็นสิ่งที่ควรทำ เป็นสิ่งที่ควรแก้ไข แต่คนที่มีหน้าที่ มีอำนาจไม่อยากทำหรือไม่อยากเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ซึ่งหากไม่มีเวทีให้แสดงความคิดความเห็น คนในสังคมก็คงทำได้แค่ปรับทุกข์ระหว่างกันในที่ทำงาน หรือในหมู่เพื่อนฝูงเท่านั้นซึ่งไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใด การมีเวทีแสดงความคิด ความเห็นที่เป็นอิสระอย่างกว้างขวาง จึงน่าจะเป็นพลังของสังคมในทางอ้อมอันมีประสิทธิภาพที่จะช่วยผลักดันหรือกดดัน ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีที่ถูกต้องชอบธรรมในสังคมได้
สำหรับสังคมศาลยุติธรรมนั้น จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ผู้เขียนเคยพบปะพูดคุยกับผู้พิพากษาหลายท่านที่มีประสบการณ์และรู้ซึ้งถึงปัญหาต่าง ๆที่เกิดขึ้นเป็นอย่างดีและมีมุมมองแนวคิดในการแก้ไขปัญหาที่น่าสนใจ แต่ก็ไม่มีเวทีที่สะดวกและเหมาะสมเพื่อให้ท่านเหล่านั้นได้มีโอกาสแสดงความคิดความเห็น ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง “ ดุลพาห ” “ บทบัณฑิตย์ ” หรือ วารสาร “ศาลยุติธรรม” ก็เป็นวารสารที่เน้นเรื่องวิชาการเป็นส่วนใหญ่และการเขียนต้องใช้เวลาในการศึกษาค้นคว้าและการเรียบเรียงค่อนข้างมาก อีกทั้งกว่าจะออกแต่ละเล่มก็ใช้เวลาค่อนข้างนาน บางครั้ง บางเรื่อง ก็ไม่ทันต่อเหตุการณ์ แต่มีเวทีหนึ่งที่ผู้เขียนเห็นว่าน่าจะเหมาะสมที่สุดสำหรับการเสนอความเห็นหรือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกัน เวทีนั้นก็คือ “ ข่าวศาลยุติธรรม ” เพราะรู้สึกจะพิมพ์ออกเผยแพร่เกือบทุกวัน อย่างน้อยที่สุดก็ขอแบ่งเนื้อที่กระดาษในคอลัมภ์ “ เก็บข่าวเล่าเรื่องศาลยุติธรรม ” ซักครึ่งหนึ่งก็น่าจะดีไม่น้อย รูปแบบอาจจะโดยวิธีการ ตั้งประเด็นหรือกระทู้ขึ้นมาโดยคณะทำงานกำหนดเอง หรือให้คนที่สนใจเสนอเข้ามา จากนั้นก็เปิดโอกาสให้คนทั่วไปที่สนใจแสดงความเห็น วิธีการอย่างนี้ ผู้เขียนเชื่อว่าจะก่อให้เกิดประโยชน์อย่างมากต่อองค์กร และน่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยนำพาสำนักงานศาลยุติธรรมของเราไปสู่เป้าหมายในฝันที่เรียกว่า “ องค์กรอัจฉริยะ ” ได้ในไม่ช้า./
และวารสาร “ศาลยุติธรรม” ปีที่ ๕ ฉบับที่ ๓ ประจำเดือน เมษายน –พฤษภาคม ๒๕๔๘
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น