1/06/2555

การชี้กรรมของศาล


                           การชี้กรรมของศาล  [1]         
                                                                
         ในสภาพการณ์ของสังคมไทยที่มีปัญหาข้อขัดแย้งกันมากมาย  อีกทั้งยังมีปัญหาภูมิคุ้มกันบกพร่องในเรื่องของคุณธรรม จริยธรรม   ผู้คนจำนวนมากหลงผิดคิดถึงแต่เรื่องอำนาจผลประโยชน์และทรัพย์สินเงินทองเหมือนเช่นทุกวันนี้ ได้ส่งผลให้มีคดีความขึ้นสู่ศาลเพิ่มขึ้นจำนวนมาก  นับต่อแต่นี้ไปศาลทุกศาลไม่ว่าจะเป็นศาลรัฐธรรมนูญ  ศาลยุติธรรม  ศาลปกครองหรือศาลทหาร  ก็คงต้องรับภาระหน้าที่อันหนักอึ้งในการที่จะ ชี้กรรม ให้กับผู้ถูกกล่าวหาหรือคู่พิพาทต่าง ๆ ซึ่งหากศาลสามารถชี้กรรมได้อย่างถูกต้องเป็นธรรม ก็จะเป็นที่ยอมรับของคู่ความทุกฝ่ายและประชาชน  ปัญหาแต่ละเรื่องก็คงจะยุติหรือเบาบางลงไปเมื่อคดีถึงที่สุด ในทางตรงกันข้ามหากมีการชี้กรรมผิดพลาดหรือ ชี้ขาดชี้เกิน  แทนที่ปัญหาจะได้รับการเยียวยาแก้ไข  โอกาสที่จะลุกลามบานปลายใหญ่โตย่อมมีอยู่สูง
         เกี่ยวกับเรื่อง กรรมนั้น  ท่านพุทธทาสภิกขุ   ได้เคยแสดงธรรมบรรยายไว้ในชุดที่เรียกว่าศึกษาพุทธศาสนาตามวิธีของวิทยาศาสตร์  โดยท่านอธิบายว่า  คำว่า กรรมหรือการกระทำนั้น  พระพุทธเจ้าท่านพูด ๒ ภาษา คือ ภาษาธรรมกับภาษาศีลธรรมซึ่งมีนัยยะแห่งความ หมายพอสังเขปดังนี้   คือ [2]
         ๑. ภาษาธรรม  เป็นภาษาที่พระพุทธเจ้าใช้พูดกับผู้มีปัญญาถึงขั้นที่จะหลุดพ้นได้ คือ พูดอย่างผู้รู้พูดกับผู้รู้หรือพูดสอนคนไม่รู้ให้กลายเป็นผู้รู้ ซึ่งเป็นการอธิบายตามหลักวิทยาศาสตร์ ตามหลักธรรมชาติโดยแท้  กล่าวคือ   กรรมจะมีจุดเริ่มต้นที่ ผัสสะ”   คือ  เมื่ออายตนะข้างใน ได้แก่  ตา  หู  จมูก  ลิ้น  กาย  ใจ  กับอายตนะข้างนอก  คือ  รูป  เสียง  กลิ่น  รส  โผฏฐัพพะ  ธัมมารมณ์ พบกันเข้า จะทำให้เกิดความรู้สึกที่เรียกว่าวิญญาณทางตา  ทางหู  ทางจมูก  ทางลิ้น ทางกายและทางใจ   ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ  ตามสภาวธรรมของร่างกายและจิตใจ   เปรียบเสมือนการมีเมล็ดพืชอยู่เมื่อมีแผ่นดิน มีน้ำมีอากาศ มีสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสมก็จะหน่องอกขึ้นมาตามธรรมชาติ 
         เมื่อมีผัสสะแล้วก็จะมี  เวทนา   เกิดขึ้น  คือ  ความรู้สึกเป็นสุข เป็นทุกข์หรือไม่สุขไม่ทุกข์  และหลังจากนั้นก็จะมีความอยากไปตามอำนาจของเวทนานั้น  ซึ่งก็คือ กิเลสตัณหา  นั่นเอง จากกิเลสตัณหา ก็จะเกิด อุปาทาน  คือ  ยึดมั่นถือมั่นไปตามความอยาก  แล้วจะทำให้เกิดจิตชนิดที่เรียกว่า ตัวฉัน หรือ  “ ตัวกู ของกู  ขึ้นมา  ฉันต้องการ ฉันอยากคิด  อยากทำ  อยากพูด   ฯลฯ   เกิดตัวฉันที่มีความรู้สึกอยาก  เกิดความคิดที่จะสนองความอยาก  ความต้องการของตัวเองเรียกว่า “มโนกรรม”  จากนั้นก็อาจมีการแสดงออกด้วยการกระทำเรียกว่า “กายกรรม” และอาจมีการพูดที่เรียกว่า “วจีกรรม” 
         ท่านพุทธทาสได้อธิบายขยายความอีกว่า    หลักพระพุทธศาสนาที่แท้จริงนั้น สามารถสรุปได้เพียงคำเดียวคือ การไม่มีตัวตน  หมาย ความว่า ความรู้สึกสุขทุกข์หรือไม่สุขไม่ทุกข์ ที่เรียกว่า เวทนา นั้น  มันเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติของสิ่งที่มีร่างกาย  มีชีวิต  มีจิตใจ  มีอะไรให้ปรุงแต่งนึกคิดได้   สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่ของเรา  ไม่ใช่ของคนอื่น   ไม่ใช่ของพระเจ้า หรือของใครทั้งสิ้น   แต่เป็นกฎแห่ง  ปฏิจจสมุปบาท” คือ เพราะสิ่งนี้เป็นปัจจัยสิ่งนี้จึงเกิดขึ้น ซึ่งเป็นหลักของวิทยาศาสตร์เปรียบเสมือนเราเห็นรถยนต์คันหนึ่งเป็นส่วน ๆไป  แล้วการปรุงแต่งของมันทำให้รถยนต์วิ่งไปได้  ส่วนประกอบทุกส่วนเมื่อมันทำการปรุงแต่งกันได้  มันก็เป็นรถยนต์ที่วิ่งไปได้โดยไม่ต้องมีรถยนต์  รถยนต์วิ่งไปแต่ไม่ต้องมีรถยนต์  
          การที่จะทำให้กรรมสิ้นไปนั้น ต้องจัดการกับสิ่งที่เรียกว่า ตัวตน ให้ได้  หากไม่เกิดความรู้สึกที่เรียกว่า “ ตัวกู ของกู  เมื่อใด  จิตนั้นก็จะอยู่เหนือวิสัยที่จะมีกรรมได้และเมื่อนั้นก็จะสิ้นกรรม บรรลุสู่นิพพานเป็นพระอรหันต์  ไม่มีดี  ไม่มีชั่ว  ไม่มีบาป  ไม่มีบุญ ไม่มีดำ ไม่มีขาว ฯลฯ ซึ่งภาวะเช่นนั้นได้ถูกสมมุติขึ้นเรียกว่า  อรหัตตมรรค  อรหัตตผล  แต่แท้จริงแล้ว  คำว่า  พระอรหันต์ ไม่มีตัวไม่มีตน เป็นเพียงการสมมุติเรียกบุคคลที่อยู่ในภาวะที่สิ้นกรรมเท่านั้น    เพราะเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีตัวตนแล้วจะมีบุคคลได้อย่างไร   มันเป็นเพียงจิตที่ประกอบอยู่ด้วยลักษณะอาการที่ปรุงแต่งขึ้นมาตามธรรมชาติเท่านั้น   เพราะฉะนั้น  พระอรหันต์ที่แท้จริงก็ไม่ใช่คนที่เดินไปเดินมาได้  มันเป็นภาวะของจิตอันหนึ่งซึ่งมีลักษณะที่เรียกว่าไม่ทำกรรมใหม่ ไม่มีกรรมเก่า แล้วก็เป็นคนสิ้นกรรม
         ๒.ภาษาศีลธรรมหรือภาษาคน   เป็นภาษาที่พระพุทธเจ้าใช้พูดกับปุถุชนคนธรรมดาทั่วไปที่ยังมีตัวกูของกูอยู่   เหตุที่ต้องใช้ภาษาศีลธรรมในการเทศนาสั่งสอนก็เพราะพระพุทธเจ้าเห็นว่าคนในโลกกว่า  ๙๙ เปอร์เซ็นต์ ยังไม่อยู่ในสภาวะที่พร้อมจะหลุดพ้นหรือสิ้นกรรมได้   จึงต้องมีระบบสำหรับคนส่วนใหญ่เหล่านี้  พระพุทธเจ้าจึงพูดถึงการมีบุคคล   มีสัตว์    มีผู้ทำกรรม  มีผู้ได้รับผลกรรม  มีดี มีชั่ว  และสอนว่าจงพยายามทำแต่ความดี ทำดีให้มาก  ทั้งนี้เพื่อว่าจะได้มีศีลธรรมในโลก  มนุษย์จะได้อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข   อย่างผาสุกตามแบบของชาวโลก    ซึ่งคำสอนในลักษณะเช่นนี้จะมีเหมือนกันในทุกศาสนาไม่ใช่การเรียนรู้ในเรื่องของกรรมตามหลักวิทยาศาสตร์  เป็นกรรมตามความเชื่อของบุคคลที่ยังยึดมั่นถือมั่นในเรื่องของตัวตนซึ่งเมื่อมีตัวตนก็จะเกิดกิเลส ตัณหา เกิดโลภะ โทสะ โมหะของตัวตนนั้นๆขึ้นมา    ถ้าความอยากนั้นฉลาดหรือถูกต้อง ก็จะทำให้เกิดการกระทำที่เรียกว่า ความดี แต่หากความอยากนั้นเป็นไปในทางไม่ดีก็จะเกิดการกระทำที่เรียกว่า ความชั่ว”    
          นอกจากนั้น การใช้ภาษาศีลธรรมของพระพุทธเจ้ายังมีประโยชน์ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ   เพื่อจะได้ใช้ภาษาศีลธรรมในการอธิบายให้มนุษย์โลกได้รู้ได้เข้าใจในภาษาธรรมได้หรืออธิบายได้อีกนัยหนึ่งว่า   พระพุทธเจ้าใช้ภาษาที่มีตัวตนพูดอธิบายจนให้เข้าใจเรื่องที่ไม่มีตัวตน   พอคนเข้าใจเรื่องไม่มีตัวตนแล้ว  ทีหลังก็พูดด้วยภาษาที่เกือบจะไม่ต้องพูด คือ ภาษาเรื่องไม่มีตัวตน 
         จากที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่าแท้จริงแล้วการทำความดีก็คือ การพยายามก้าวเดินไปสู่จุดหมายปลายทางที่เรียกว่า นิพพาน นั่นเอง  เพราะการกระทำต่าง ๆในความหมายของคำว่าความดีนั้น ส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่สอนให้คนลดความเป็นตัวตน เป็นตัวกูของกูให้น้อยลงทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการให้ทาน การเสียสละ การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่   การเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม ฯลฯ  ในทางตรงกันข้าม การกระทำ  ต่าง ๆที่เรียกว่าความชั่วนั้น จะเห็นได้ว่าเป็นสิ่งที่ช่วยทำให้เพิ่มอุปาทาน  เพิ่มความรู้สึกยึดมั่นถือมั่น  เพิ่มความรู้สึกที่เรียกว่าตัวกูของกูทั้งสิ้น 
         อย่างไรก็ตาม  ในการทำความดีตามแบบของชาวโลกนั้น ต้องพึงระมัดระวังให้ดี   หากเข้าใจผิดคิดไปในทิศทางที่ไม่ถูกต้องโดยมุ่งทำดีเพื่อหวังชื่อเสียงหน้าตา ลาภ ยศ สรรเสริญหรือทรัพย์สินเงินทองเป็นสำคัญ หรือแม้กระทั่งมุ่งทำดีเพื่อส่วนรวมแต่ยึดเอาความคิดเห็นของตนเป็นใหญ่  ไม่ยอมฟังใครหรือไม่รู้จักคำว่าปล่อยวางในจังหวะเวลาที่เหมาะสมแล้ว  การทำความดีนั้นก็อาจจะแปลกแปร่งผิดเพี้ยนไปและอาจจะกลายเป็นคนที่เรียกว่า ติดดีหรือ หลงดี ไป  ซึ่งในทางภาษาธรรมแล้ว ผลที่ได้ก็คงไม่ต่างไปจากการทำความชั่ว  เพราะเป็นเรื่องของการเพิ่มความรู้สึกในอัตตาตัวตนเหมือนกัน 
          ครั้งหนึ่งท่านพุทธทาสได้บรรยายให้คณะผู้พิพากษาฟังในหัวข้อเรื่อง   หลักพุทธศาสนาสำหรับผู้พิพากษา    มีผู้พิพากษาคนหนึ่งถามท่านว่าการที่ผู้พิพากษาตัดสินลงโทษประหารชีวิตจำเลยถือว่าเป็นบาปหรือไม่   ท่านตอบว่าไม่บาปเพราะผู้พิพากษาเป็นเพียง ผู้ชี้กรรมเท่านั้น แต่ข้อสำคัญผู้พิพากษาต้องชี้กรรมของจำเลยให้ถูกต้องด้วย  ถ้าผู้พิพากษาชี้กรรมของจำเลยขาดเกินหรือผิดพลาดไป  ผู้พิพากษาก็ต้องรับกรรมในส่วนที่ตนชี้ขาดชี้เกินหรือชี้ผิดพลาดนั้น[3]
          จากคำตอบของท่านพุทธทาสดังกล่าว   ผู้เขียนเห็นว่าน่าจะเป็นการตอบโดยอธิบายคำสอนของพระพุทธเจ้าในแง่ของภาษาศีลธรรม” มากกว่า เพราะท่านพูดในลักษณะที่ยังมีตัวตนของจำเลยและตัวตนของผู้พิพากษาอยู่ หากเป็นการตอบในทาง ภาษาธรรม  ก็เข้าใจว่าท่านน่าจะตอบในทำนองว่า  สิ่งต่าง ๆที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นการกระทำของจำเลย  การพิจารณาพิพากษาคดีของผู้พิพากษาหรือการกระทำของบุคคลต่างๆที่เกี่ยวข้องในคดีทั้งหมด ย่อมเป็นไปตามหลักปฏิจจสมุปบาท  คือ เพราะสิ่งนี้เป็นปัจจัยสิ่งนี้จึงเกิดขึ้น ดังนั้นไม่ว่าผู้พิพากษาจะตัดสินคดีอย่างไร  ย่อมไม่มีผิดไม่มีถูก  ไม่มีบุญไม่มีบาป  ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ตามกฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติทั้งสิ้น       
         ในการปฏิบัติหน้าที่ของผู้พิพากษาหรือตุลาการนั้น แม้จะทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เที่ยงตรงปราศจากอคติใด ๆทั้งปวงก็ตาม   แต่โอกาสที่จะชี้กรรมผิดย่อมเกิดขึ้นได้  ด้วยเหตุด้วยปัจจัย ด้วยเงื่อนไขต่าง ๆมากมาย    ทั้งนี้ จุดที่จะก่อให้เกิดความผิดพลาดมีอยู่     เรื่องใหญ่ ๆคือ การฟังข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อน  การวินิจฉัยข้อกฎหมายไม่ถูกต้อง และ การใช้ดุลพินิจไม่เหมาะสม  
         ปัญหาในเรื่องของการฟังข้อเท็จจริงนั้น อาจกล่าวได้ว่า มีความ สำคัญมากที่สุด  เพราะหากศาลฟังข้อเท็จจริงได้อย่างถูกต้อง ย่อมนำ ไปสู่การวินิจฉัยข้อกฎหมายและการใช้ดุลพินิจที่ถูกต้องเหมาะสมไปด้วย แต่หากศาลฟังข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อน โอกาสที่การวินิจฉัยข้อกฎหมายจะผิดพลาดหรือการใช้ดุลพินิจไม่เหมาะสมย่อมมีอยู่สูงยิ่ง
         ในการค้นหาความจริงนั้น  บางครั้งบางคดี  เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย   ทั้งนี้เพราะเหตุว่า สภาพปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นในสังคมทุกวันนี้นับวันจะมีแต่ความยุ่งยากสลับซับซ้อนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ  ทั้งในแง่ของ ตัวปัญหา”  ที่มีปัจจัยเงื่อนไขต่าง ๆเกี่ยวข้องมากมาย  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเศรษฐกิจ  สังคม  การเมือง  กระแสโลกาภิวัตน์ ฯลฯ   ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลาและในแง่ของ พยานหลักฐาน  ที่เกี่ยวข้อง   ซึ่งบางเรื่องเป็นข้อมูลทางเทคนิคหรือเทคโนโลยีขั้นสูงที่ผู้มีความรู้เชี่ยวชาญเท่านั้นจะสามารถทำความเข้าใจได้  หรือแม้แต่พยานพื้นฐานอย่างพยานบุคคลก็มีปัญหาอยู่ไม่น้อย   เพราะจิตมนุษย์นั้นไซร้  ยากแท้หยั่งถึง ทุกวันนี้การพูดโกหกในสังคมไทยดูเหมือนจะเป็นเรื่องธรรมดาที่เราได้ยินได้ฟังกันเป็นประจำจนชินชา  คนที่พูดอย่างทำอย่าง  มีตัวอย่างให้เห็นมากมายในสังคม  ประกอบกับที่ผ่านมาเราได้ปล่อยให้ศาลเป็นศาลาโกหกมาอย่างยาวนานโดยไม่มีมาตรการเชิงรุกใด ๆที่จะจัดการกับพยานที่เบิกความเท็จเลย   ซึ่งเมื่อคนชอบพูดโกหกพบกับนักกฎหมายที่เป็นลูกหลานศรีธนนชัย  ท่านผู้อ่านก็คงจะทราบดีว่า  อะไรจะเกิดขึ้น   คงเป็นเรื่องยากที่ศาลจะได้รับรู้ข้อมูลอย่างครบถ้วน  ถูกต้องตรงไปตรงมา
         นอกจากนั้น  ศาลไทยยังคุ้นเคยกับระบบกล่าวหามาอย่างยาวนาน  กล่าวคือ   ผู้พิพากษาจะวางตัวเป็นกลางอย่างเคร่งครัด ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือก้าวก่ายการนำพยานหลักฐานเข้าสืบของคู่ความ  ถึงแม้ขณะนี้การพิจารณาคดีบางประเภท อย่างเช่น คดีที่อยู่ในอำนาจของศาลรัฐ ธรรมนูญ ศาลปกครอง  ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือคดีผู้บริโภค กฎหมายจะบัญญัติให้เน้นการนำระบบไต่สวนมาใช้   แต่ในทางปฏิบัติก็ดูเหมือนว่าศาลค่อนข้างที่จะระมัดระวังในการใช้อำนาจอยู่พอสมควร เหตุผลหนึ่งน่าจะเป็นเพราะว่าหากศาลลงไปยุ่งเกี่ยวกับการนำพยานหลักฐานเข้าสืบมากเกินไป  ก็คงเกรงว่า   จะถูกกล่าวหาว่าลำเอียงหรือเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง  ผลที่สุดจึงปล่อยให้เป็นเรื่องของคู่ความต่อสู้กันเองเสียเป็นส่วนใหญ่ หลักฐานได้มาเท่าไหร่ ศาลก็วินิจฉัยชี้ขาดไปตามนั้น 
          จากที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่า   การที่ศาลจะสามารถชี้กรรมได้อย่างถูกต้องนั้น  นอกจากจะอาศัยความรู้ ความสามารถของผู้พิพากษาแล้ว    ยังจะต้องอาศัยทุกคนทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นโจทก์  จำเลย  อัยการ ทนายความ  พยาน ฯลฯ ในการที่จะช่วยเหลือสนับสนุน  นำข้อเท็จจริงที่ถูกต้องครบถ้วนเสนอต่อศาลตามบทบาทหน้าที่ของตนเอง 
         หากบุคคลที่เกี่ยวข้องไม่ให้ความร่วมมือหรือทำหน้าที่ขาดตกบก พร่องไม่ว่าจะด้วยเหตุผลหรือสาเหตุใดก็ตาม  โอกาสที่ศาลจะชี้กรรมผิดพลาดย่อมมีอยู่สูง    ซึ่งในท้ายที่สุดทุกคนที่เกี่ยวข้องก็คงจะได้รับ   “ ผลกรรม ”  จากการกระทำของตนเอง ส่วนจะมากจะน้อยอย่างไร ในรูปแบบไหน  ก็คงแล้วแต่สิ่งที่แต่ละคนได้กระทำลงไป   ซึ่งหากมองในแง่ของ ภาษาธรรม  ก็หมายถึงว่า   โอกาสที่จะทำให้เกิดความรู้สึกในการเป็นตัวกูของกูของบุคคลที่เกี่ยวข้องก็คงจะมีมากขึ้น   เนื่องจาก  ผลแห่งคดีที่ไม่ถูกต้อง เที่ยงธรรมนั้นย่อมเป็นธรรมดาที่จะถูกวิพากษ์  วิจารณ์ในทางลบและก็แน่นอนว่า บุคคลที่เกี่ยวข้องย่อมเกิดความรู้สึกในความเป็นตัวตนของตนเองไปต่าง ๆนานา  เป็นต้นว่า ฉันไม่ผิด  ฉันไม่พอใจคนวิจารณ์  ฉันรู้สึกผิด  ฉันขอโทษ  ฉันจะปรับปรุงตัว  ฉันไม่แคร์   ฉัน.......ฯลฯ  โอกาสที่จิตจะได้รับการพัฒนาให้สูงขึ้น  มีความสงบมากขึ้น ย่อมลดลงไปด้วย 
          แต่หากพิจารณาในแง่ของ ภาษาคนหรือภาษาศีลธรรม ก็หมายถึงว่า  ผู้มีส่วนในความผิดพลาดนั้นได้สร้างบาปสร้างกรรมให้กับคู่ความและบุคคลต่าง ๆที่เกี่ยวข้อง   รวมทั้งประชาชนคนไทยที่ได้รับความเดือดร้อนจากผลแห่งคดีนั้น และจะต้องชดใช้กรรมที่ตัวเองได้ก่อขึ้นตามหลักของ  กฎแห่งกรรม ไม่ว่าจะเป็นชาตินี้  ชาติหน้าหรือชาติไหน ๆก็ตาม./ 


[1] ลงพิมพ์เผยแพร่ในหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน  ฉบับลงวันที่  ๑๕  เมษายน  ๒๕๕๑  
[2]  พุทธทาสภิกขุ , เรื่องกรรมในมุมมองของพุทธทาส (กรุงเทพฯ : เพชรประกาย, ๒๕๔๘) ,หน้า  ๑๐๒.  
[3] ธานินทร์  กรัยวิเชียร , “จริยธรรมของนักกฎหมาย” , รวมคำบรรยายหลักวิชาชีพนักกฎหมาย (กรุงเทพฯ : วิญญูชน ,๒๕๔๘) ,หน้า ๒๓๕.

                                    ----------------------------------------

              “ ดูก่อนมาณพ สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน เป็นผู้รับมรดกแห่งกรรม มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์พวกพ้อง มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กรรมนั้นเองย่อมจำแนกสัตว์ทั้งหลายให้เลวบ้าง ให้ดีบ้าง

เมื่อกรรมชั่วยังไม่เห็นผล คนชั่วอาจเห็นกรรมชั่วเป็นกรรมดี แต่เมื่อกรรมชั่วให้ผล เขาย่อมเห็นกรรมชั่วว่าเป็นกรรมชั่ว ส่วนคนดีอาจเห็นกรรมดีเป็นกรรมชั่ว เมื่อกรรมดียังไม่ให้ผล แต่เมื่อใดกรรมดีให้ผล เมื่อนั้นเขาย่อมเห็นกรรมดีเป็นกรรมดี
                                                                                         พุทธวจน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น