การขอปล่อยชั่วคราวเพื่อหาเงินชำระค่าปรับ[1]
โดย...โสต สุตานันท์
จากประสบการณ์ที่ผู้เขียนได้ปฏิบัติงานในศาลต่าง ๆหลายศาล พบว่า กรณีจำเลยได้รับอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวระหว่างการพิจารณาคดีของศาลชั้นต้นและต่อมาศาลได้พิพากษาให้ลงโทษเฉพาะโทษปรับหรือให้ลงโทษจำคุกและปรับแต่โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ หากจำเลยไม่มีเงินชำระค่าปรับในวันอ่านคำพิพากษา จำเลยมักจะยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวเพื่อขอเวลาไปหาเงินชำระค่าปรับภายใน ๓๐ วัน โดยขออนุญาตใช้หลักประกันและสัญญาประกันเดิม ซึ่งทางปฏิบัติศาลก็มักจะอนุญาตให้ตามขอ
ผู้เขียนเคยปรึกษาหารือและแลกเปลี่ยนความเห็นกับเพื่อนผู้พิพากษาและผู้รู้ต่าง ๆ เพราะรู้สึกมันแปลกแปร่งยังไงชอบกล แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจน และเนื่องจากที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีปัญหาใด เพราะส่วนใหญ่จำเลยจะนำเงินค่าปรับไปชำระภายในเวลาที่กำหนด ผู้เขียนจึงไม่ได้สนใจอะไรและอนุญาตให้ไป โดยไม่ได้คิดอะไรมาก
ต่อมาผู้เขียนได้รับโอนสำนวนคดีมาเรื่องหนึ่ง ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นจำเลยได้รับอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวในวงเงินประกัน ๓๐๐,๐๐๐ บาท หลังพิจารณาคดีเสร็จ ศาลพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย ๒ ปี ปรับ ๒๐,๐๐๐ บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ จำเลยไม่ชำระค่าปรับในวันอ่านคำพิพากษาแต่ได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวเพื่อหาเงินชำระค่าปรับภายในวัน ๓๐ วัน ศาลอนุญาตตามขอ ปรากฏว่าเมื่อครบกำหนด ๓๐ วัน จำเลยไม่นำเงินค่าปรับไปชำระ แต่ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนท่านเดิมจึงสั่งปรับนายประกันเต็มตามสัญญา ๓๐๐,๐๐๐ บาท และแจ้งนายประกันให้ชำระค่าปรับภายใน ๑๕ วัน
แต่หลังจากวันที่ศาลมีคำสั่งดังกล่าว ก็ไม่มีการดำเนินการใด ๆเพื่อบังคับค่าปรับเอากับนายประกัน จนกระทั่งศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาออกมา โดยพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น จำเลยจึงนำเงินค่าปรับตามคำพิพากษาทั้งหมดไปชำระต่อศาล วันดีคืนดีปรากฏว่า เจ้าหน้าที่ได้ทำบันทึกเสนอผู้เขียนขอให้มีคำสั่งเกี่ยวกับเรื่องการบังคับชำระค่าปรับกรณีผิดสัญญาประกันของนายประกันตามที่ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนเดิมได้สั่งปรับไว้ หากเป็นผู้อ่านจะมีคำสั่งในเรื่องดังกล่าวอย่างไร
ในความเห็นของผู้เขียน ผู้เขียนเห็นว่า การเรียกประกันการชำระค่าปรับตามคำพิพากษากับเรื่องการขอปล่อยชั่วคราวระหว่างพิจารณาคดีเป็นคนละเรื่องกัน ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙ บัญญัติว่า “ ผู้ใดต้องโทษปรับและไม่ชำระค่าปรับภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ศาลพิพากษา ผู้นั้นจะต้องถูกยึดทรัพย์สินใช้ค่าปรับ หรือมิฉะนั้นจะต้องถูกกักขังแทนค่าปรับ แต่ถ้าศาลเห็นเหตุอันควรสงสัยว่า ผู้นั้นจะหลีกเลี่ยงไม่ชำระค่าปรับ ศาลจะสั่งเรียกประกันหรือจะสั่งให้กักขังผู้นั้นแทนค่าปรับไปพลางก่อนก็ได้ ” จากบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว ผู้เขียนเห็นว่า เมื่อศาลพิพากษาให้จำเลยชำระค่าปรับแล้ว หากจำเลยไม่มีเงินชำระค่าปรับในวันอ่านคำพิพากษา ศาลน่าจะมีอำนาจใช้ดุลพินิจสั่งดังต่อไปนี้เท่านั้น คือ
๑.) หากศาลเห็นว่า ไม่มีเหตุอันควรสงสัยว่า จำเลยจะหลีกเลี่ยงไม่ชำระค่าปรับ ศาลต้องปล่อยจำเลยไปเพื่อให้โอกาสจำเลยไปหาเงินมาชำระค่าปรับภายใน ๓๐ วัน เพราะเป็นสิทธิของจำเลยที่กฎหมายบัญญัติไว้อย่างชัดเจน หากครบกำหนดแล้ว จำเลยไม่ชำระค่าปรับ ก็ต้องดำเนินการติดตามยึดทรัพย์สินจำเลยเพื่อนำมาชำระค่าปรับหรือมิฉะนั้นก็ต้องจัดการให้ได้ตัวจำเลยมาเพื่อกักขังแทนค่าปรับต่อไป
๒.) หากศาลเห็นว่า มีเหตุอันควรสงสัยว่าจำเลยจะหลีกเลี่ยงไม่ชำระค่าปรับ ศาลย่อมมีอำนาจสั่งได้ ๒ ประการ คือ
๒.๑ สั่งเรียกประกัน ซึ่งคำว่า เรียกประกัน น่าจะหมายถึง ทั้งการเรียกให้นำหลักทรัพย์มาวางเป็นประกัน หรือ การให้บุคลทำสัญญาประกัน โดยหากจำเลยไม่ชำระค่าปรับภายในกำหนด ศาลย่อมมีสิทธิบังคับเอากับหลักทรัพย์ที่วางเป็นประกันหรือผู้ประกันจะต้องชำระค่าปรับแทนจำเลย
๒.๒ สั่งกักขังแทนค่าปรับไปพลางก่อน จนกว่าจำเลยจะนำเงินค่าปรับมาชำระครบทั้งหมด หรือจำเลยถูกขังเป็นเวลาเพียงพอแก่ค่าปรับแล้ว
ผู้เขียนเห็นว่า การเรียกประกันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙ นั้น เจตนารมณ์ของกฎหมายมุ่งประสงค์เพื่อเป็นหลักประกันให้จำเลยชำระค่าปรับ ซึ่งเป็นเรื่องของทรัพย์สินเงินทอง แต่การทำสัญญาปล่อยชั่วคราวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ลักษณะ ๕ หมวด ๓ เจตนารมณ์ของกฎหมายมุ่งประสงค์เพื่อเป็นหลักประกันว่าจะได้ตัวจำเลยมาศาลตามกำหนดนัดต่าง ๆ ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับอิสรภาพของบุคคล กรณีจึงเป็นคนละเรื่องกัน
ดังนั้น ผู้เขียนจึงเห็นว่า การอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวเพื่อให้จำเลยหาเงินชำระค่าปรับ น่าจะเป็นเรื่องการนำกฎหมายมาปรับใช้แบบผิดฝาผิดตัว และก่อให้เกิดผลร้ายต่อจำเลย เพราะหากมีการผิดสัญญาไม่ชำระค่าปรับภายในกำหนด นอกจากศาลจะมีสิทธิบังคับให้จำเลยชำระค่าปรับตามคำพิพากษาแล้ว ยังมีสิทธิบังคับให้ชำระค่าปรับกรณีผิดสัญญาปล่อยชั่วคราวอีก ซึ่งน่าจะผิดเจตนารมณ์ของกฎหมายดังกล่าวข้างต้น การอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวน่าจะเป็นกรณีที่ศาลพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยจริง ๆเท่านั้น กรณีศาลพิพากษาให้ปรับหรือจำคุกและปรับ แต่โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ หากจำเลยไม่มีเงินชำระค่าปรับในวันอ่านคำพิพากษาและศาลเห็นว่ามีเหตุอันควรสงสัยว่าจำเลยจะหลีกเลี่ยงไม่ชำระค่าปรับ ศาลก็ควรจะสั่งให้เรียกประกันหรือสั่งให้กักขังไปพลางก่อนดังที่กล่าวไว้ในข้อ ๒.๑ และ ๒.๒ ดังกล่าวข้างต้น
เกี่ยวกับปัญหาเรื่องการชำระค่าปรับตามประมวลกฎหมายอา ๒๙ นี้ ผู้เขียนได้ศึกษาค้นคว้าตำรับตำราหลายเล่ม แต่ตำราส่วนใหญ่จะอธิบายไว้สั้น ๆไม่มีรายละเอียดอะไรมากนัก ที่น่าสนใจก็เห็นจะมีความเห็นในหนังสือ “คำอธิบายกฎหมายอาญา ภาค ๑” ของท่านอาจารย์จิตติ ติงศภัทิย์ ซึ่งผู้เขียนเห็นว่ามีประเด็นที่น่าสนใจอยู่ ๒ เรื่อง คือ
๑. เกี่ยวกับความหมายของคำว่า “เรียกประกัน” ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙
หนังสือเล่มดังกล่าวในหน้า ๑๐๗๖ – ๑๐๗๗ มีคำอธิบายไว้ว่า “ อนึ่ง ที่เรียกว่าประกันตามมาตรานี้ หมายความว่า ประกันว่าจะชำระเงินค่าปรับ ทำนองเดียวกับประกันว่าจำเลยจะมาศาลในกรณีปล่อยชั่วคราว ไม่ถือเป็นสัญญาประกัน เพราะค่าปรับเป็นโทษซึ่งเป็นเรื่องเฉพาะตัวผู้ถูกลงโทษ ไม่เป็นการถูกต้องที่จะให้ผู้อื่นชำระแทนผู้ถูกลงโทษ ระหว่างระยะเวลาชำระค่าปรับก็เสมือนปล่อยชั่วคราว เพราะอาจต้องเอาตัวมากักขังแทนค่าปรับก็ได้ หากจำเลยไม่ชำระค่าปรับและมีการบังคับตามสัญญาประกัน เงินที่ชำระต้องถือเป็นค่าปรับที่ชำระแล้ว (ฎ.๑๕๗๙/๒๕๒๑) จึงให้เวลาผ่อนชำระค่าปรับไม่เกิน ๕ ปี ซึ่งเป็นกำหนดล่วงเลยการลงโทษตาม ม.๙๙ และก่อนชำระงวดสุดท้ายต้องมีธนาคารมาค้ำประกัน”
เพื่อประโยชน์ในการวิเคราะห์ปัญหาตามความเห็นดังกล่าว ผู้เขียนขอสรุปเนื้อหาสาระของคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๕๗๙/๒๕๒๑ โดยย่อดังนี้ คือ “ คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลย (ซึ่งเป็นบริษัท ) มีความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากรฯ ให้ชำระค่าปรับเป็นเงินจำนวน ๖๕,๗๔๔,๔๕๒.๒๔ บาท ปรากฏว่า จำเลยชำระค่าปรับไป ๑๒๐,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลือได้ยื่นคำร้องว่า ไม่มีเงินสดเพียงพอที่จะชำระค่าปรับให้ครบภายใน ๓๐ วัน ได้ โดยอ้างเหตุผลความจำเป็นหลายประการ และขอให้ศาลมีคำสั่งขยายระยะเวลาชำระค่าปรับออกเป็นงวด ๆ คือ งวดแรกจำนวน ๕,๗๔๔,๔๕๒.๒๔ บาท งวดต่อไปชำระภายในวันที่ ๑๕ มกราคมของทุกปี ปีละ ๖ ล้านบาท จนกว่าจะครบจำนวนค่าปรับ
โจทก์คัดค้านว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๒๔๕ บัญญัติให้ดำเนินการบังคับคดีโดยไม่ชักช้า และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙ บัญญัติให้ผ่อนผันการบังคับคดีได้เพียง ๓๐ วัน ซึ่งเป็นบทบัญญัติเฉพาะแล้ว จึงนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๓ มาใช้โดยอาศัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕ ไม่ได้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๔๕ บัญญัติให้บังคับคดีโดยไม่ชักช้า จึงไม่อาจนำบทบัญญัติเรื่องการย่นหรือขยายระยะเวลาตามประมวลกฎหมายกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๓ มาใช้กับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙ อันเป็นกฎหมายสารบัญญัติได้ แต่อย่างไรก็ตามการบังคับโทษปรับนั้น กฎหมายไม่ได้บัญญัติไว้เป็นเด็ดขาดว่าให้เวลาแก่จำเลยเพียง ๓๐ วัน จึงเป็นดุลพินิจของศาลที่จะให้จำเลยผ่อนชำระค่าปรับได้ แล้วมีคำสั่งให้จำเลยชำระค่าปรับงวดแรก ๑๐,๗๔๔,๔๕๒.๒๔ บาท ที่เหลือผ่อนชำระปีละ ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท ยกเว้นปีสุดท้ายให้ชำระ ๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมทั้งกำหนดเงื่อนไขให้จำเลยหาธนาคารเข้ามาเป็นผู้ค้ำประกันการชำระค่าปรับดังกล่าว
โจทก์อุทธรณ์ว่า ไม่มีกฎหมายสนับสนุนให้ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจผ่อนผันการบังคับชำระค่าปรับได้ และจำเลยอุทธรณ์ขอให้ขยายเวลาชำระค่าปรับตามที่ได้ยื่นขอต่อศาลชั้นต้น โดยไม่ต้องให้ธนาคารค้ำประกัน ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า ให้จำเลยผ่อนชำระค่าปรับได้ โดยให้ชำระงวดแรก ๑๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลือให้ผ่อนชำระ ๘ งวด ๆละไม่น้อยกว่า ๖,๙๖๘,๑๐๖.๕๓ บาท พร้อมทั้งมีเงื่อนไขให้ทำทัณฑ์บนว่า จำเลยจะต้องไม่ยักย้ายจำหน่ายโรงงานและเครื่องจักรทั้งหมดและห้ามจำเลยก่อภาระติดพันแก่ทรัพย์สินเหล่านั้นเพิ่มขึ้นอีก
โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยขอผ่อนชำระค่าปรับจะถือว่าจำเลยไม่ชำระค่าปรับนั้นไม่ได้ เพราะในกรณีที่จำเลยมีทรัพย์สิน ถ้าให้โอกาสจำเลยมีเวลาหาเงินมาชำระค่าปรับได้ก็ไม่จำเป็นต้องยึดทรัพย์สินของจำเลย การที่ศาลจะผ่อนให้จำเลยชำระค่าปรับช้าเร็วเพียงใด เป็นการใช้ดุลพินิจกำหนดให้ตามความยุติธรรมและเหมาะสมในการให้รอการบังคับไว้ยังไม่ยึดทรัพย์จำเลย เพราะประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๙ ใช้คำว่า “ผู้นั้นจะต้องถูกยึดทรัพย์สินใช้ค่าปรับ” มิได้ใช้คำว่า “ให้ยึดทรัพย์สินจำเลยใช้ค่าปรับ” ซึ่งศาลอาจดำเนินการยึดทรัพย์ได้ภายใน ๕ ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๙ คดีนี้เห็นได้ว่า ถ้าบังคับคดีโดยการยึดทรัพย์สินของจำเลยมาขายทอดตลาดเอาเงินชำระค่าปรับทันทีก็มีแต่จะเกิดความเสียหายทั้งต่อตัวจำเลยและมีผลกระทบต่อส่วนรวมหากจำเลยต้องล้มเลิกกิจการ เพราะค่าปรับมีจำนวนมาก ศาลฎีกาจึงเห็นพ้องด้วยในผลแห่งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ พิพากษาให้ จำเลยผ่อนชำระค่าปรับได้ และกำหนดเงื่อนไขให้จำเลยจะต้องนำธนาคารมาเป็นผู้ค้ำประกันการชำระค่าปรับที่ค้างชำระ โดยมีเงื่อนไขว่า ถ้าจำเลยไม่ชำระหรือจำเลยต้องยกเลิกกิจการไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ ธนาคารผู้ค้ำประกันจะต้องชำระค่าปรับทั้งหมดที่ค้างชำระแทนจำเลยทันที โดยจะปฏิเสธความรับผิดใด ๆไม่ได้ทั้งสิ้น และสละสิทธิไม่ยกข้อต่อสู้ใด ๆของจำเลยมาอ้างเพื่อให้พ้นความรับผิดจากการที่จะต้องถูกบังคับคดี ”
จากคำพิพากษาฎีกาคดีดังกล่าว จะเห็นว่าศาลฎีกายอมรับให้บุคคลอื่นทำสัญญาประกันการชำระค่าปรับของจำเลยต่อศาลได้ ดังนั้น ด้วยความเคารพอย่างสูง ผู้เขียนจึงเห็นว่า คำอธิบายตามนัยหนังสือดังกล่าวข้างต้น ซึ่งให้ความเห็นไว้ว่า ค่าปรับเป็นโทษซึ่งเป็นเรื่องเฉพาะตัวผู้ถูกลงโทษ ไม่เป็นการถูกต้องที่จะให้ผู้อื่นชำระแทนผู้ถูกลงโทษ จึงดูเหมือนจะขัดแย้งกับเหตุผลในคำวินิจฉัยตามคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๕๗๙/๒๕๒๑ ดังที่กล่าวอ้างไว้
แม้คดีนี้ จำเลยจะเป็นนิติบุคคลซึ่งตามกฎหมายไม่สามารถกักขังแทนค่าปรับได้ก็ตาม แต่ก็ไม่น่าจะเป็นเหตุผลที่จะปฏิบัติต่อจำเลยซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาให้แตกต่างกัน เพราะหากยึดหลักการที่ว่า ค่าปรับตามคำพิพากษาเป็นเรื่องเฉพาะตัว ผู้อื่นชำระแทนไม่ได้แล้ว ไม่ว่าจำเลยจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลก็น่าจะยึดถือหลักการอันเดียวกัน
ในความเห็นของผู้เขียน เห็นว่า หากเราแปลความว่า การลงโทษปรับตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๘ (๔) เป็นเรื่องเฉพาะตัวของจำเลย คนอื่นชำระแทนไม่ได้แล้ว คงก่อให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติไม่น้อย เพราะในความเป็นจริงมีคดีจำนวนมากที่พ่อแม่ ญาติพี่น้องของจำเลย นายจ้างหรือบุคคลอื่นประสงค์จะชำระค่าปรับแทนจำเลย ซึ่งเมื่อบุคคลดังกล่าวนำเงินไปชำระค่าปรับ เจ้าหน้าที่ผู้รับชำระคงไม่สามารถล่วงรู้ได้ หรือแม้จะรู้แต่หากเจ้าหน้าที่คนใดปฏิเสธไม่ยอมรับชำระก็คงเป็นเรื่องที่แปลกและยากที่จะอธิบายให้ประชาชนเข้าใจได้ หรือกรณีจำเลยเป็นเด็กนักเรียนซึ่งไม่มีรายได้หรือทรัพย์สินใด ๆเลย หากเราไม่ยอมให้พ่อแม่ชำระค่าปรับแทนได้ จำเลยก็คงต้องถูกกักขังแทนค่าปรับสถานเดียว
จริง ๆแล้วผู้เขียนเห็นว่า การที่บุคคลอื่นชำระค่าปรับแทนจำเลยนั้น ไม่ได้หมายความว่า จำเลยไม่ต้องรับผิดชอบเสียทีเดียว เพราะในความเป็นจริง หากไม่ใช่พ่อแม่ ญาติพี่น้อง คงไม่มีใครที่จะช่วยเหลือจำเลยโดยไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ อย่างน้อยที่สุดจำเลยก็ต้องเป็นหนี้บุญคุณของบุคคลที่ชำระค่าปรับแทนตนเอง กล่าวเฉพาะการทำสัญญาประกันการชำระค่าปรับต่อศาลนั้น หากไม่ใช่พ่อแม่ญาติพี่น้อง ส่วนใหญ่ผู้ทำสัญญาประกันย่อมเรียกร้องผลประโยชน์ค่าตอบแทนจากจำเลยอย่างแน่นอน จากเหตุผลดังที่กล่าวมา ผู้เขียนจึงเห็นว่า คำว่า เรียกประกัน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙ นั้น น่าจะหมายถึง การให้จำเลยหาหลักทรัพย์มาวางเป็นประกัน หรือ การให้บุคลทำสัญญาประกันก็ได้ ทั้งนี้ไม่ว่าจำเลยจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล
๒. เกี่ยวกับการบังคับชำระค่าปรับระหว่างอุทธรณ์ – ฎีกา
ปัญหาดังที่กล่าวข้างต้น หมายถึง กรณีที่จำเลยไม่ประสงค์จะอุทธรณ์ โดยจำเลยยอมรับในผลของคำพิพากษาศาลชั้นต้น เพียงแต่มีปัญหาเรื่องเงินค่าปรับไม่มี จึงขอเวลาศาลไปหาเงินมาชำระ มีปัญหาว่ากรณีศาลชั้นต้นพิพากษาให้ปรับหรือจำคุกและปรับ แต่โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ แต่จำเลยไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาและประสงค์จะอุทธรณ์ จะดำเนินการอย่างไรเกี่ยวกับการบังคับชำระค่าปรับตามคำพิพากษา เกี่ยวกับเรื่องนี้ หนังสือ คำอธิบายกฎหมายอาญา ภาค ๑ ของท่านอาจารย์จิตติ ติงศภัทิย์ หน้า ๑๐๗๕ ได้อธิบายไว้ว่า “ แม้การบังคับคดีจะกระทำเมื่อคดีถึงที่สุดตาม ป.วิอาญา ม.๒๔๕ โดยไม่ชักช้าก็ตาม แต่ตาม ป.วิอาญา ม.๑๘๘ คำพิพากษามีผลตั้งแต่ได้อ่านในศาลโดยเปิดเผย..............เมื่อครบกำหนด ๓๐ วันแล้ว แม้จะมีอุทธรณ์ฎีกาคำพิพากษานั้นก็ไม่เป็นการขัดขวางแก่การที่ศาลจะต้องบังคับคดีไปตาม ม.๒๙ กรณีที่จะต้องรอให้คดีถึงที่สุดเสียก่อน กฎหมายย่อมเขียนไว้เช่นนั้นโดยตรง เช่น ม.๙๒,๙๘,๙๙,๑๐๐ เป็นต้น .........”
จากคำอธิบายดังกล่าว ผู้เขียนมีข้อสังเกต คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๓๓ บัญญัติไว้ว่า “ ในคดีอาญา ต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิด ก่อนมีคำพิพากษาอันถึงที่สุดแสดงว่าบุคคลใดได้กระทำความผิดจะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทำความผิดมิได้ ” ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่น่าคิดว่า ความเห็นตามนัยหนังสือดังกล่าวสอดคล้องกับหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญหรือไม่ อย่างไร หากมีการบังคับคดีโดยการบังคับชำระค่าปรับหรือกักขังแทนค่าปรับตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นทันที แล้วต่อมาศาลอุทธรณ์ หรือศาลฎีกา พิพากษายกฟ้องหรือแก้ไขค่าปรับให้น้อยลงกว่าเดิม แน่นอนว่าจำเลยต้องได้รับความเสียหายอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้กักขังแทนค่าปรับซึ่งเป็นเรื่องของอิสรภาพของบุคคล หากจำเลยถูกกักขังตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นไปแล้ว คงเป็นการยากที่จะหามาตรการใด ๆมาเยียวยาความเสียหายแก่จำเลยที่สูญเสียไป ส่วนกรณีการบังคับชำระค่าปรับก็เช่นกัน แม้ถึงที่สุดแล้วหากศาลอุทธรณ์ หรือศาลฎีกา พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยจะมีสิทธิขอเงินค่าปรับที่ชำระไปแล้วคืนได้ แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า การที่จำเลยชำระค่าปรับไปก่อนย่อมมีผลทำให้จำเลยได้รับความเดือดร้อน โดยเฉพาะหากค่าปรับมีจำนวนมากหรือจำเลยเป็นคนยากจน
นอกจากนั้น ยังมีข้อน่าสังเกตอีกคือ เคยมีแนวคำพิพากษาศาลฎีกาวินิจฉัยว่า กรณีคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา หากคดียังไม่ถึงที่สุด โจทก์ย่อมไม่อาจขอให้บังคับคดีในส่วนแพ่งกับจำเลยได้ (คำพิพากษาฎีกาที่ ๒๗๘๖/๒๕๓๒) ซึ่งจะเห็นว่า แม้แต่การบังคับคดีในทางแพ่ง ศาลฎีกายังเห็นว่าต้องรอให้คดีถึงที่สุดก่อน ขณะที่การบังคับชำระค่าปรับเป็นเรื่องการลงโทษในทางอาญาโดยตรงซึ่งร้ายแรงมากกว่าเราจะแปลความหมายว่าไม่ต้องรอให้คดีถึงที่สุดเช่นนั้นหรือ ด้วยความเคารพอย่างสูง ผู้เขียนจึงไม่เห็นด้วยกับความเห็นในหนังสือดังกล่าวอ้างข้างต้นที่ว่า แม้จะมีอุทธรณ์ฎีกาคำพิพากษานั้นก็ไม่เป็นการขัดขวางแก่การที่ศาลจะต้องบังคับคดีไปตาม มาตรา ๒๙
กล่าวโดยสรุป ผู้เขียนเห็นว่า เมื่อพิจารณาหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา ๓๓ ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๔๕ แล้ว การบังคับคดีไปตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๙ น่าจะแบ่งเป็น ๒ กรณี คือ
กรณีแรก - หากคดีไม่มีการอุทธรณ์ การดำเนินการบังคับคดีก็เป็นไปตามเงื่อนไขหลักเกณฑ์ที่กฎหมายบัญญัติไว้ โดยศาลมีอำนาจยึดทรัพย์สินใช้ค่าปรับ กักขังแทนค่าปรับ หรือเรียกประกันได้ ดังรายละเอียดที่กล่าวไว้ข้างต้น
กรณีที่สอง - หากคดีมีการอุทธรณ์ ย่อมแสดงว่า คดียังไม่ถึงที่สุด ดังนั้น จึงไม่อาจปฏิบัติต่อจำเลยเสมือนเป็นผู้กระทำความผิดได้ การบังคับคดีต่อจำเลยโดยการยึดทรัพย์สินใช้ค่าปรับและการกักขังแทนค่าปรับโดยสภาพต้องถือว่า เป็นการปฏิบัติต่อจำเลยเสมือนเป็นผู้กระทำความผิดแล้ว ผู้เขียนจึงเห็นว่า ไม่น่าจะทำได้ เพราะจะเป็นขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา ๓๓ แต่อย่างไรก็ตาม กรณีการเรียกประกันนั้น ผู้เขียนเห็นว่า ยังไม่น่าจะถือว่าเป็นการปฏิบัติต่อจำเลยเสมือนเป็นผู้กระทำความผิด ดังนั้น หากศาลเห็นว่าจำเลยอาจหลีกเลี่ยงไม่ชำระค่าปรับศาลน่าจะมีอำนาจเรียกประกันจากจำเลยในระหว่างอุทธรณ์-ฎีกาได้
ความเห็นของผู้เขียนดังที่กล่าวมา เป็นการพิจารณาในแง่ของหลักการตามตัวบทกฎหมาย โดยแยกประเด็นปัญหาออกจากกันเป็น ๒ กรณี อย่างชัดเจน คือ กรณีจำเลยไม่ยื่นอุทธรณ์กับจำเลยยื่นอุทธรณ์ แต่ปัญหาก็คือว่า ในทางปฏิบัติ ภายหลังศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาแล้ว ศาลไม่อาจทราบได้ทันทีว่า จำเลยจะยื่นอุทธรณ์หรือไม่ อย่างไร จนกว่าจะพ้นกำหนดเวลา ๑ เดือน ตามกฎหมาย หากศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาแล้ว ปรากฏว่า ๑.) จำเลยชำระค่าปรับทั้งหมด (อาจยื่นหรือไม่ยื่นอุทธรณ์ก็ได้) หรือ ๒.) จำเลยยื่นคำร้องขอต่อศาลในทำนองว่า ขอเวลาไปหาเงินมาชำระค่าปรับ (ไม่เกิน ๓๐ วัน ตาม ปอ. ม.๒๙) โดยวางหลักประกันหรือทำสัญญาประกันไว้ต่อศาล ( อันแสดงว่าจำเลยยอมรับในผลของคำพิพากษา โดยไม่ประสงค์จะยื่นอุทธรณ์ เพียงแต่ไม่มีเงินชำระค่าปรับในวันฟังคำพิพากษาเท่านั้น ) หรือ ๓.) จำเลยยื่นคำร้องขอต่อศาลในทำนองว่า ประสงค์จะยื่นอุทธรณ์ จึงขอวางหลักประกันหรือทำสัญญาประกันการชำระค่าปรับระหว่างอุทธรณ์ไว้ต่อศาล ย่อมไม่มีปัญหาใด ศาลก็คงต้องพิจารณาไปตามรูปคดี
แต่ถ้าข้อเท็จจริงปรากฏว่า จำเลยไม่ดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งใน ๓ ประการ ดังกล่าว จะทำอย่างไร ปัญหานี้ ผู้เขียนเห็นว่า ตราบใดที่ยังไม่พ้นกำหนดเวลายื่นอุทธรณ์ตามกฎหมาย ย่อมแสดงว่าคดียังไม่ถึงที่สุด ซึ่งหากพิจารณาตามหลักการแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา ๓๓ แล้ว ศาลย่อมไม่อาจกักขังจำเลยแทนค่าปรับในช่วงเวลาดังกล่าวได้ดังเหตุและผลที่กล่าวไว้ข้างต้น แต่อย่างไรก็ตาม หากเราแปลความเช่นนั้น ย่อมก่อให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติอย่างมาก ผู้เขียนจึงเห็นว่า เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหา จึงควรที่จะนำรัฐธรรมนูญ มาตรา ๓๑ วรรคสาม ซึ่งบัญญัติไว้ว่า “ การจับ คุมขัง ตรวจค้นตัวบุคคล หรือการกระทำใด อันกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพตามวรรคหนึ่ง จะกระทำมิได้ เว้นแต่ โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ” มาปรับใช้ประกอบกัน โดยกรณีต้องถือว่า ระหว่างที่ยังไม่มีการยื่นอุทธรณ์ หากมีเหตุอันควรสงสัยว่าจำเลยจะหลีกเลี่ยงไม่ชำระค่าปรับ ศาลย่อมมีอำนาจตาม ปอ. มาตรา ๒๙ ใช้ดุลพินิจสั่งให้กักขังจำเลยแทนค่าปรับไปพลางก่อนได้ ซึ่งก็ต้องพึงระมัดระวังว่า เมื่อใดที่จำเลยยื่นอุทธรณ์ ศาลย่อมไม่มีอำนาจคุมขังจำเลยได้อีกต่อไป ศาลคงมีอำนาจเพียงอย่างเดียวคือ เรียกประกันจากจำเลยเท่านั้น
ปัญหาต่อไปว่า หากศาลเรียกประกันแล้ว จำเลยไม่สามารถหาหลักประกันตามคำสั่งศาลได้ จะทำอย่างไร ในเรื่องนี้ ผู้เขียนเห็นว่า น่าจะนำบทบัญญัติเกี่ยวกับเรื่องการทิ้งฟ้อง ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา ๑๗๔ (๒) มาปรับใช้ โดยอาศัย ป.วิ.อาญา มาตรา ๑๕ กล่าวคือ หากจำเลยไม่สามารถหาหลักประกันตามที่ศาลเรียกภายในเวลาที่กำหนดได้ ศาลย่อมมีอำนาจจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา ๑๓๒ (๑) จากนั้นก็ดำเนินการบังคับคดีไปตามกฎหมาย
ผู้เขียนเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งกับคำกล่าวที่ว่า กฎหมายไม่ใช่ตัวความยุติธรรม แต่เป็นเพียงเครื่องมือที่ช่วยก่อให้เกิดความยุติธรรม การแปลความหมายกฎหมายเหมือนเช่นที่ผู้เขียนแสดงความเห็นดังกล่าว น่าจะเป็นทางออกที่เหมาะสมที่สุด เพราะนอกจากจะช่วยคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนแล้ว ยังน่าจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมด้วย เพราะหากแปลความโดยเคร่งครัดว่า จะบังคับคดีกับจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๙ ได้ต่อเมื่อคดีถึงที่สุดแล้วเท่านั้น โดยตราบใดที่คดียังไม่ถึงที่สุด ศาลย่อมไม่สิทธิยึดทรัพย์สินใช้ค่าปรับ กักขังแทนค่าปรับ รวมทั้งไม่มีมีสิทธิเรียกประกันด้วย ย่อมก่อให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติไม่น้อย เพราะหากระหว่างอุทธรณ์-ฎีกา จำเลยหลบหนี เสียชีวิต หรือพยายามยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินเพื่อหลีกเลี่ยงการชำระค่าปรับ ก็คงเป็นเรื่องยุ่งยากที่จะบังคับคดีในภายหลังได้
ผู้เขียนเห็นว่า แม้แต่คดีแพ่งกฎหมายยังเปิดโอกาสให้จำเลยที่แพ้คดียื่นขอทุเลาการบังคับคดีระหว่างอุทธรณ์ไว้ก่อนได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๓๑ เพราะฉะนั้นในคดีอาญาซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสิทธิเสรีภาพของบุคคลซึ่งสำคัญมากกว่า จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะให้โอกาสจำเลยโดยการชะลอการบังคับคดีไว้ก่อนหากจำเลยยื่นอุทธรณ์-ฎีกา แต่ทั้งนี้ กรณีดังกล่าวต้องถือว่า เป็นการเรียกประกันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙ ไม่น่าจะใช่เป็นเรื่องของการขอปล่อยชั่วคราวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาดังเหตุและผลที่ผู้เขียนให้ไว้ข้างต้น
เกี่ยวเนื่องกับปัญหาการชำระค่าปรับนี้ ยังมีปัญหาที่น่าสนใจอีกเรื่องหนึ่งคือ เรื่องการยึดทรัพย์จำเลยใช้ค่าปรับ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙ บัญญัติว่า “ผู้ใดต้องโทษปรับและไม่ชำระค่าปรับภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ศาลพิพากษา ผู้นั้นจะต้องถูกยึดทรัพย์สินใช้ค่าปรับ หรือมิฉะนั้นจะต้องถูกกักขังแทนค่าปรับ.............” จากบทบัญญัติดังกล่าว มีปัญหาว่า เป็นสิทธิของจำเลยที่จะเลือกชำระค่าปรับหรือจะเลือกขอให้กักขังแทนค่าปรับก็ได้ หรือจะต้องบังคับคดีตามขั้นตอนโดยบังคับเอากับทรัพย์สินจำเลยก่อน หากไม่มีจึงใช้มาตรการกักขังแทนค่าปรับ เกี่ยวกับเรื่องนี้ มีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๔๒๙/๒๔๗๖ วินิจฉัยว่า เมื่อใดคำพิพากษาวางโทษปรับเป็นเงินย่อมเป็นความประสงค์ของกฎหมายที่จะบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษา การกักขังแทนเงินค่าปรับจะพึงทำได้ต่อเมื่อไม่มีทางจะได้เงินค่าปรับเท่านั้น และคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๓๗๕/๒๕๐๓ วินิจฉัยว่า เมื่อชำระเงินค่าปรับไปแล้วบางส่วน แล้วถูกกักขังในส่วนที่ยังค้างอยู่ ผู้ต้องโทษจะขอรับเงินค่าปรับคืนโดยให้กักขังแทนให้เต็มจำนวนค่าปรับย่อมทำไม่ได้ จากแนวคำพิพากษาฎีกาดังกล่าว กรณีจึงต้องถือว่า ไม่ใช่สิทธิเลือกของจำเลย โดยหากจำเลยไม่ชำระค่าปรับต้องบังคับค่าเอากับทรัพย์สินของจำเลยก่อน เมื่อไม่มีทรัพย์สินที่จะให้ยึดแล้ว จึงจะกักขังจำเลยแทนค่าปรับ อย่างไรก็ตาม
ที่กล่าวมาเป็นเพียงหลักการตามกฎหมายซึ่งผู้เขียนก็เห็นด้วย แต่ในทางปฏิบัติต้องยอมรับความจริงว่า ที่ผ่านมาเชื่อว่า ไม่น่าจะมีศาลไหนใช้มาตรการติดตามยึดทรัพย์สินของจำเลยเพื่อชำระค่าปรับหรือถ้ามีก็น่าจะน้อยมาก โดยหากจำเลยไม่ยอมชำระค่าปรับส่วนใหญ่ศาลมักจะใช้มาตรการกักขังจำเลยแทนค่าปรับทันที โดยไม่ทำการตรวจสอบก่อนว่าจำเลยมีทรัพย์สินให้ยึดหรือไม่ อย่างไร เหตุผลน่าจะเป็นเพราะว่า ในการตรวจสอบติดตามเพื่อยึดทรัพย์สินจำเลยนั้น ในทางปฏิบัติมีขั้นตอนที่ยุ่งยากซับซ้อนและใช้เวลาค่อนข้างมาก อีกทั้งไม่มีระเบียบกฎหมายกำหนดแนวทางปฏิบัติไว้อย่างชัดเจน นอกจากนั้น เมื่อยึดทรัพย์มาแล้วก็ต้องมีขั้นตอนในเรื่องการขายอีก กว่าจะยึดและขายทรัพย์สินได้เงินมา คดีส่วนใหญ่จำเลยคงถูกขังครบกำหนดเพียงพอแก่ค่าปรับไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนก็เห็นว่า แม้ในทางปฏิบัติการยึดทรัพย์สินใช้ค่าปรับจะมีอุปสรรคปัญหามากมายดังกล่าว แต่โดยที่ปัจจุบันมีกฎหมายหลายฉบับที่มุ่งลงโทษจำเลยโดยใช้วิธีปรับ บางฉบับได้กำหนดอัตราค่าปรับไว้ค่อนข้างสูง อย่างเช่นความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษฯ บางฐานมีโทษปรับเป็นเงินหลายล้านบาท ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการลงโทษผู้กระทำความผิดเป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย ผู้เขียนจึงเห็นว่า เราน่าจะมีการศึกษาวิเคราะห์เรื่องนี้อย่างจริงจังและพยายามหามาตรการหรือวิธีการมารองรับเพื่อให้การบังคับยึดทรัพย์สินใช้ค่าปรับมีประสิทธิภาพสูงสุดต่อไป หากเราปล่อยให้สภาพเป็นเหมือนเช่นทุกวันนี้ การลงโทษปรับจำเลยเป็นจำนวนเงินมาก ๆ คงได้เฉพาะตัวเลขที่ปรากฏในคำพิพากษาเท่านั้น เพราะส่วนใหญ่จำเลยคงยอมให้กักขังแทนค่าปรับ
อนึ่ง มีข้อน่าสังเกตว่า ปัจจุบันได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๑๙ โดยเพิ่มข้อความในวรรคสองว่า “ เพื่อประโยชน์ในการบังคับคดี ให้ศาลชั้นต้นที่พิจารณาชี้ขาดตัดสินคดีนั้นมีอำนาจออกหมายบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินของบุคคลซึ่งต้องรับผิดตามสัญญาประกันได้เสมือนว่าเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาและให้ถือว่าหัวหน้าสำนักงานประจำศาลยุติธรรมเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในส่วนที่เกี่ยวกับหนี้ตามสัญญาประกันดังกล่าว ” ดังนั้น หากจะถือโอกาสสร้างกฎกติการองรับโดยมอบหมายให้หัวหน้าสำนักงานประจำศาลยุติธรรมรับผิดชอบในเรื่องการติดตามยึดทรัพย์สินจำเลยเพื่อชำระค่าปรับอีกเรื่องหนึ่งก็คงจะดีไม่น้อย./
ขอบคุณสำหรับมุมมองดี ๆ ในการใช้กฎหมายให้เป็นธรรมครับ...
ตอบลบขอบคุณสำหรับมุมมองดี ๆ ในการใช้กฎหมายให้เป็นธรรมครับ...
ตอบลบขอบคุณสำหรับความรู้ดีๆคราบ
ตอบลบ