สังคมไทย กับ รัฐธรรมนูญฉบับใหม่[1]
โดย...โสต สุตานันท์
มีนักปราชญ์ นักกฎหมายคนสำคัญและมีชื่อเสียงโด่งดังหลายท่าน เคยกล่าวไว้ว่า สังคมในอุดมการณ์ คือ สังคมที่มีกฎหมายน้อยที่สุด หรือหากไม่มีเลย ก็จะเป็นสังคมในฝันที่มนุษย์โลกพึงปรารถนา สังคมไหนพยายามออกกฎหมายมาบังคับใช้มาก ๆนั่นคือ สัญญาณที่บ่งบอกว่า สังคมนั้นกำลังมีปัญหามากขึ้นเรื่อย ๆ จากสถานการณ์บ้านเมืองของเราที่เป็นอยู่ในขณะนี้ คงไม่มีใครโต้แย้งว่า แนวคิดดังกล่าวไม่เป็นความจริง
กฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. ๒๕๔๐ มีทั้งหมด ๓๓๖ มาตรา ซึ่งถือว่า ค่อนข้างยาวมาก หากเปรียบเทียบกับรัฐธรรมนูญของประเทศอื่น ๆในโลก เข้าใจว่า น่าจะอยู่ในอันดับต้น ๆ นอกจากนั้น กฎหมายลูกต่าง ๆของเราก็มีมากมาย เฉพาะพระราชบัญญัติตอนนี้ก็มีอยู่กว่า ๗๐๐ ฉบับ
เพราะเหตุใด กฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. ๒๕๔๐ จึงเขียนไว้ค่อนข้างยาว ในมุมมองของผู้เขียนเห็นว่า สาเหตุสำคัญน่าจะเนื่องมาจาก ผู้ร่างกฎหมายมีแนวคิดโดยตั้งข้อสมมุติฐานในเบื้องต้นว่า คนส่วนใหญ่ในสังคมเป็นคนไม่ดี โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือ นักการเมือง ซึ่งจ้องแต่จะแสวงหาผลประโยชน์ และมักใช้อำนาจไปในทางที่ไม่ถูกไม่ต้อง กฎหมายรัฐธรรมนูญจึงถูกออกแบบมาในลักษณะไม่ไว้วางใจนักการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยสร้างองค์กรและกลไกต่าง ๆขึ้นมามากมาย เพื่อคอยควบคุมตรวจสอบการใช้อำนาจอย่างใกล้ชิด
ในอดีตที่ผ่านมา มีการโกงกันอย่างไร ทำไม่ดีกันตรงไหน ก็พยายามเขียนกฎหมายไปอุดช่องว่างมันไว้ ตอนร่างก็ระดมตัวแทนประชาชนแต่ละกลุ่มแต่ละเหล่า จากหลายสาขาอาชีพมาช่วยกันร่าง ที่เรียกกันว่า สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร. ) แต่ละคนก็มีความคิดความเห็นดี ๆกันทั้งนั้น ในที่สุดก็นำความคิดดี ๆเหล่านั้น มาลงไว้ในรัฐธรรมนูญซะยาวเหยียดอย่างที่เห็นกันนี่แหละ
นอกจากกฎหมายรัฐธรรมนูญแล้ว ยังมีตัวอย่างกฎหมายลูกอีกมากมาย ที่ผู้ร่างสันนิษฐานว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐส่วนใหญ่เป็นคนไม่ดี อย่างเช่น ตอนนี้ สังคมไม่ไว้ใจตำรวจ ก็เลยออกกฎหมายมาเข้มงวดกวดขันกับการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจ คำให้การรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมก็ห้ามรับฟังเป็นพยานหลักฐานในชั้นศาล เพราะเกรงว่า ตำรวจจะซ้อมผู้ต้องหาให้รับสารภาพ
หมายค้น – หมายจับ ก็ออกเองไม่ได้เหมือนแต่ก่อน ต้องให้ศาลออกให้ (นี่ถ้าต่อไปสังคมไม่ไว้ใจศาลอีก ก็ไม่ทราบว่า จะแก้กฎหมายให้ใครออกแทนดี) ในการสอบสวนคดีก็ต้องให้มีทนายมานั่งเฝ้า และขณะนี้ ก็มีหลายฝ่ายพยายามเสนอแนวคิดให้พนักงานอัยการหรือฝ่ายปกครองเข้าไปคานดุลตรวจสอบ โดยเข้าเป็นคณะพนักงานสอบสวนร่วมอีก (ซึ่งในอดีตก็เคยทำกันมาแล้ว และมีการแก้ไขกลับไปกลับมาหลายครั้ง )
การที่เราไม่ไว้ใจคนในองค์กรใดก็เขียนกฎหมายออกมาควบคุมการปฏิบัติหน้าที่ของคนในองค์กรนั้น ๆ มองดูเผิน ๆน่าจะเป็นเรื่องที่ดี แต่หากศึกษาปัญหาในรายละเอียดจะพบว่า ในทางปฏิบัติ การออกกฎหมายในลักษณะดังกล่าว บ่อยครั้งก่อให้เกิดอุปสรรคปัญหามากมายต่อข้าราชการหรือบุคลากรในองค์กรต่าง ๆที่ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ด้วยดี เพราะในความเป็นจริงแล้ว งานที่รับผิดชอบแม้จะมีลักษณะเนื้องานหลัก ๆเหมือนกัน หรือคล้ายคลึงกัน แต่เมื่อพิจารณาลงลึกในรายละเอียดจะพบว่า ปัญหาทุกเรื่องจะมีข้อเท็จจริงในรายละเอียดที่แตกต่างกัน และแน่นอนว่า ย่อมต้องใช้วิธีการในการแก้ไขปัญหาแตกต่างกันด้วย
แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ถูกบังคับด้วยกรอบของระเบียบกฎหมาย ผลที่ตามมาก็คือ เรื่องง่าย ๆก็จะกลายเป็นเรื่องยาก เรื่องที่ยากอยู่แล้ว ก็จะยิ่งยุ่งยากซับซ้อนขึ้นไปอีก เจ้าหน้าที่ที่ดี ๆจะทำงานด้วยความอึดอัด หากใครกล้าแหกกฎระเบียบ เมื่อผิดพลาดขึ้นมาก็จะถูกลงโทษถูกสอบวินัย สุดท้ายส่วนใหญ่ก็จะทำงานแบบปลอดภัยไว้ก่อน ทำงานไปวัน ๆเช้าชามเย็นชาม ไม่มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ใด ๆ ขณะเดียวกันคนที่ไม่ดี ก็จะถือโอกาสนำระเบียบกฎเกณฑ์ที่ยุ่งยากนั้นไปแสวงหาผลประโยชน์ ผู้บังคับบัญชาบางคนก็ถือโอกาสนำไปใช้เป็นเครื่องมือในการกลั่นแกล้งลูกน้องที่ไม่ยอมสวามิภักดิ์ต่อตนเอง ฯลฯ
ในมุมมองของผู้เขียน เห็นว่า ที่ผ่านมาสังคมไทยเราแก้ปัญหาไม่ถูกจุด ในทรรศนะของผู้เขียนมองว่า ในทุกองค์กรน่าจะมีคนดีมากกว่าคนไม่ดี ดังนั้น ในการตรากฎหมายเราต้องตั้งข้อสันนิษฐานไว้ในเบื้องต้นว่า คนส่วนใหญ่เป็นคนดี มีความรับผิดชอบ เราต้องพยายามออกกฎกติกาที่เอื้ออำนวย ให้ความสะดวก ให้การสนับสนุน ต่อการปฏิบัติหน้าที่ของคนในองค์กรให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และต้องมอบอำนาจ มอบดุลพินิจในการตัดสินใจให้เขาพอสมควร เราต้องให้เกียรติ์ ให้ความไว้วางใจต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเขา ไม่ใช่ไปกำหนดบทบาททุกย่างก้าวให้เขาเดิน แต่อย่างไรก็ตาม หากเราให้อำนาจไปแล้ว ถ้าบุคคลใดใช้อำนาจไปในทางที่ไม่ถูกไม่ต้อง มีการทุจริต คอรัปชั่น เราต้องมีมาตรการจัดการที่รุนแรง เด็ดขาด และ เอาจริงเอาจัง
ที่ผ่านมาจะเห็นว่า บางครั้งเราแก้ไขปรับปรุงกฎหมายตามกระแสสังคมมากเกินไป คนชั่วไม่กี่คนสร้างปัญหาแทนที่เราจะจัดการกับคนคนนั้นอย่างเด็ดขาดกลับไม่ดำเนินการ มิหนำซ้ำหลายครั้งกลับพยายามช่วยเหลือกันอีก แล้วพยายามแก้ปัญหาโดยการออกกฎหมายมาตรวจสอบควบคุมคนส่วนใหญ่ในองค์กรที่ไม่ได้สร้างปัญหา
อย่างเช่น ปัญหาเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ในการจัดการเลือกตั้ง ผู้เขียนเห็นว่า ข้าราชการกระทรวงมหาดไทยส่วนใหญ่เป็นคนดี คนที่มีปัญหาคือ คนส่วนน้อย ดังนั้น โดยหลักการแล้ว เราควรจะให้ฝ่ายปกครองเป็นองค์กรหลักในการจัดการเลือกตั้งต่อไป เพราะมีความพร้อมในทุก ๆด้าน อาจจะเสริมกระบวนการควบคุมตรวจสอบด้วยการออกกฎหมายให้องค์กรเอกชน ตัวแทนนักการเมือง หรือองค์กรอื่นใดที่เห็นว่าเหมาะสมเข้าไปมีส่วนร่วมด้วย และที่สำคัญต้องออกกฎกติกามาจัดการกับคนที่แหกคอก คนที่ไม่ดีอย่างเฉียบขาด เอาจริงเอาจริง ( เช่น อาจตั้งแผนกคดีผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับการเลือกตั้งขึ้นในศาลฎีกา ทำนองเดียวกันกับ การจัดตั้ง แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ก็ดูจะเข้าท่าไม่น้อย)
เพียงแค่นี้ ก็น่าจะสามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆให้บรรเทาเบาบางลงได้ การที่เราไม่ไว้วางใจฝ่ายปกครองตามกระแสความรู้สึกของสังคม แล้วออกกฎหมายเปลี่ยนแปลงให้ กกต.รับผิดชอบการจัดการเลือกตั้งแทน ผลที่ออกมาเป็นอย่างไร คนไทยทุกคนคงรู้ซึ้งในคำตอบได้เป็นอย่างดี
อีกประเด็นหนึ่ง ที่ผู้เขียนขอตั้งข้อสังเกตไว้ ณ ที่นี้ ก็คือ กฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. ๒๕๔๐ มีที่มาจากหลายประเทศ คือ เราเห็นว่า ของประเทศไหนดีเราก็เอามาใช้หมด โดยลืมคิดไปว่า สภาพแวดล้อม สังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ การเมือง ฯลฯ ของเรากับของเขาไม่เหมือนกัน
หากจะเปรียบเทียบการสร้างบ้านกับการตรากฎหมายซึ่งเป็นกฎกติกาของสังคมแล้ว โครงสร้างหลัก ๆของตัวบ้าน เช่น เสาบ้าน พื้นบ้าน ฝาบ้าน ห้องต่าง ๆและหลังคา ก็คงจะเปรียบเสมือนกฎหมายรัฐธรรมนูญ ส่วนพื้นที่ใช้สอยในรายละเอียดปลีกย่อยลงไป รวมทั้งวัสดุอุปกรณ์ เครื่องใช้ต่าง ๆภายในบ้าน ก็คงเปรียบเสมือนกฎหมายลูกต่าง ๆ
ปัญหาของเราตอนนี้ก็คือ บ้านเราเป็นเมืองร้อน แต่เราออกแบบบ้านเหมือนฝรั่งซึ่งเป็นเมืองหนาว บ้านเรายากจนแต่เราสร้างบ้านเสียใหญ่โตทำด้วยวัสดุอย่างดีราคาแพง โดยไปกู้เงินเขามาสร้าง อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ต่าง ๆภายในบ้านของเรามีครบครัน แต่บางอย่างเราไม่เคยนำมาใช้ บางอย่างใช้ไม่เป็น และบางอย่างใช้อย่างไม่คุ้มค่าหรือใช้ผิดวัตถุประสงค์ ฯลฯ
ผู้เขียนไม่ปฏิเสธว่า ความรู้ ความก้าวหน้าทางวิทยาการหรือเทคโนโลยีด้านต่าง ๆของต่างประเทศหลายเรื่อง เป็นสิ่งที่ดีมีประโยชน์ เป็นสิ่งจำเป็นที่เราต้องเรียนรู้จากเขา แต่บางสิ่งบางอย่างมันไม่จำเป็น เราก็ไม่น่าจะเอามา เราน่าจะพยายามรักษาความเป็นเอกลักษณ์ รักษาจิตวิญญาณของเราให้คงไว้ หากจำเป็นต้องเอาของเขามา ก็ไม่ใช่เอามาทั้งดุ้น เราต้องนำมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับสภาวะเงื่อนไขและข้อจำกัดต่าง ๆของสังคมในบ้านเมืองเรา
ณ วันนี้ เวลานี้ เราต้องศึกษาตัวเราเองให้ถ่องแท้ ให้รู้แจ้งเห็นจริงก่อนว่า ในอดีตเราเป็นใคร มาจากไหน ประวัติศาสตร์บ้านเมืองเรามีความเป็นมาอย่างไร ปัจจุบันเราเป็นอย่างไร เงื่อนไขปัจจัยทุกอย่างที่แวดล้อมตัวเราขณะนี้เป็นอย่างไร และในอนาคตเราต้องการอะไร เราจะเดินไปทางไหน เราต้องมองทุกสิ่งทุกอย่างจากพื้นฐานของตัวเราเองเป็นหลักและคิดหาวิธีแก้ไขปัญหาภายใต้เงื่อนไขหรือภาวะแวดล้อมที่เป็นจริงของสังคมเรา และภายใต้ภูมิปัญญาของเราเป็นสำคัญ ไม่ใช่ไปลอกเลียนแบบใครเขา
ท้ายนี้ ผู้เขียนขอตั้งข้อสังเกตเป็นบทสรุปส่งท้ายว่า ที่ผ่านมา สังคมไทยเรานั้น เวลามีปัญหาอะไรเกิดขึ้นเรามักจะโทษนั่นโทษนี่ โดยเฉพาะโทษคนอื่นไว้ก่อน โดยลืมมองสำรวจตัวเองว่า เราเองเป็นคนที่มีส่วนก่อให้เกิดปัญหาหรือไม่ อย่างไร การทุจริต การฉ้อราษฎร์- บังหลวง แทบจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าไม่มีประชาชนหรือนักธุรกิจให้ความร่วมมือหรือให้การสนับสนุนไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ตำรวจจราจรจะเรียกรับเงินไม่ได้ ถ้าประชาชนปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัดหรือหากทำผิดก็ยินดีชำระค่าปรับตามใบสั่ง ทุกคนยอมรับว่าการตัดไม้ทำลายป่าเป็นต้นเหตุแห่งภัยพิบัติหลายประการโดยเฉพาะอุทกภัย และมองว่าคนตัดไม้ทำลายป่าเป็นคนไม่ดี เป็นบ่อนทำลายชาติ แต่คนส่วนใหญ่ก็ชอบซื้อเฟอร์นิเจอร์ที่ทำด้วยไม้ ถามว่าถ้าไม่มีคนซื้อ จะมีคนตัดไม้ขายหรือไม่ ผู้เขียนไม่แน่ใจว่า นักอนุรักษ์ หรือเอ็น จี โอ บางคน ในบ้านท่านจะมีเฟอร์นิเจอร์ที่ทำด้วยไม้อยู่เต็มบ้านหรือเปล่า
มีคำกล่าวหนึ่งซึ่งผู้เขียนเคยได้ยินมานานแล้ว คือ “ตัวแทนคนกลุ่มไหนย่อมสะท้อนถึงพฤติกรรมของคนกลุ่มนั้น ” หากคิดไตร่ตรองดูให้ดี จะเห็นว่ามีมูลความจริงอยู่ไม่น้อย ถ้าสังคมไหนคนส่วนใหญ่เห็นว่า ประโยชน์ส่วนรวมต้องมาก่อนประโยชน์ส่วนตน คนที่ได้รับเลือกตั้งก็จะเป็นคนที่เห็นประโยชน์ต่อส่วนรวมมากกว่าส่วนตน ในทางตรงข้ามหากสังคมไหนคนส่วนใหญ่เห็นประโยชน์ส่วนตนมากกว่าส่วนรวม แน่นอนว่าตัวแทนของเขาก็น่าจะเป็นคนเช่นนั้นเช่นกัน
บ่อยครั้งที่ผู้เขียนเคยได้ยินคนบ่นถึงพฤติกรรมของตัวแทนที่มาจากการเลือกตั้งไม่ว่าระดับใดในทางลบ ผู้เขียนก็จะฉุกคิดถึงคำพูดดังกล่าวเสมอ ก็เพราะคนส่วนใหญ่ในสังคมของเราเป็นอย่างนั้น (อาจรวมถึงคนบ่นด้วย) คนอย่างนั้นถึงได้รับเลือกเข้าไป ก็เพราะคนส่วนใหญ่เห็นแก่เงินเห็นแก่พวกพ้อง ตัวแทนที่เลือกเข้าไปจึงจ้องแต่จะหาผลประโยชน์และเล่นพรรคเล่นพวก แล้วเราจะไปโทษใครล่ะ ( ไม่ได้หมายความว่า คนที่เห็นแก่เงิน เห็นแก่พวกพ้องเป็นคนไม่ดีทุกคน แต่อาจจะเป็นเรื่องของอิทธิพลของลัทธิวัตถุนิยม ที่เห็นเงินคือ พระเจ้า ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือ วัฒนธรรมประเพณีที่สั่งสม หล่อหลอม แนวคิดที่ผิด ๆมาอย่างยาวนาน และไม่ยอมปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์หรือสภาพแวดล้อมของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างมากมาย )
ผู้เขียนเห็นว่า ที่ผ่านมาเรามัวแต่โทษซึ่งกันและกัน หากคนไทยทุกคนย้อนกลับไปมองตัวเองสักนิดหนึ่งว่า เรามีส่วนก่อให้เกิดปัญหาด้วยหรือไม่ อย่างไร ถ้ามีก็ต้องเริ่มต้นแก้ไขที่ตัวเราเองก่อน ถ้าทุกคนคิดได้อย่างนี้ ทำได้อย่างนี้ ผู้เขียนก็เชื่อว่า ปัญหาต่าง ๆของบ้านเมืองที่พวกเรากำลังเผชิญกันอยู่ในขณะนี้ ก็คงไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่เราจะช่วยกันเยียวยาแก้ไข แต่หากคนไทยยังมีพฤติกรรมเหมือนเดิม ยังมีวิธีคิดเหมือนเดิม เราก็จะวนเวียนอยู่กับวงจรปัญหาแบบเดิม ๆเหมือนเช่นในอดีตที่ผ่านมา โดยไม่รู้จบ ไม่รู้สิ้น./
------------------------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น